
หลังจากใช้เวลา 2 ชม. ในการอ่านคำพิพากษาของศาลจังหวัดพังงา ในคดีชาย 11 คน ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุ 14 ปี ที่จังหวัดพังงา ศาลตัดสินให้จำเลย 7 คน จำคุกตลอดชีวิต ส่วนที่เหลือจำคุกตามฐานความผิด และให้ร่วมจ่ายค่าสินไหมทดแทน 7 ล้านบาท
จากคดีที่แม่เด็กหญิงวัย 14 ปี แจ้งความที่ สภ.โคกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ว่าลูกสาวถูกคนในหมู่บ้านกว่า 40 คน รุมข่มขืนตั้งแต่เดือน พ.ค. – ต.ค. 59 เริ่มจากกลุ่มวัยรุ่นชุดแรก 3 คน ภายหลังได้มีการชักชวนคนอื่นๆ มารุมข่มขืน มากที่สุดครั้งหนึ่ง 11 คน โดยเด็กหญิงปิดบัง เนื่องจากถูกข่มขู่ จนแม่มาทราบในภายหลังและเข้าแจ้งความนั้น
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (25 ต.ค. 61) “ผู้สื่อข่าวเวิร์คพอยท์” รายงานว่า ศาลจังหวัดพังงา อ่านคำพิพากษาคดีอัยการฝั่งโจทก์, เด็กหญิงวัย 14 ปี และมารดา ยื่นฟ้องชายในหมู่บ้านเกาะแรด 11 คน ในข้อหาร่วมกันกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี, กระทำข่มขืนกระทำชำเราเด็ก อายุไม่เกิน 15 ปี, บังคับขู่เข็ญให้เกิดอันตรายต่อเสรีภาพและร่างกาย, บุกรุกเคหะสถาน, พรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 18 ปี และร่วมกันกระทำชำเราเด็กในลักษณะรุมโทรม
โดยศาลพิพากษาให้ จำเลยที่ 1 – 7 ประกอบด้วย นายวรชิต คงบุตร, นายชาติชาย ศรีรัตน์, นายบุญพจร์ นนทรีย์, นายเฉลิม สามิน, นายสุชีพ สุเมนร์, นายธวัชชัย เถากู และ นายนัฐวุฒิ บุตรน้อย จำคุกตลอดชีวิต ในข้อหาโทษหนักสุด คือ ร่วมกันข่มขืน กระทำชำเราเด็กในลักษณะรุมโทรม

โดยในจำนวนนี้มี 3 คน ทำความผิดหลายครั้ง ในลักษณะทำซ้ำ ให้ลงโทษทุกกระทง ได้แก่ จำเลยที่ 8 คือ นายกีรติ สุเมนร์ จำคุก 45 ปี, จำเลยที่ 9 และ 11 คือ นายสายันต์ สุเมนร์ และ นายนาวิก จารุก จำคุก 15 ปี และจำเลยที่ 10 คือ นายรังสิมันต์ ชายเลี้ยว จำคุก 20 ปี 4 เดือน รวมทั้งให้ร่วมกันจ่ายค่าสินไหมทดแทน 7 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการนำสืบพยานศาล พิเคราะห์ได้ว่า จำเลยที่ 1 – 7 กระทำชำเราเด็กหลายครั้ง มีการผลัดเปลี่ยนข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ ทำให้เด็กสามารถจดจำใบหน้า และรายละเอียดของสถานที่เกิดเหตุได้ ทุกครั้งเด็กระบุว่า มีการบังคับให้สูดดมเกล็ดผงสีขาวที่เผาในกระดาษฟรอยด์ ทั้งการตรวจร่างกายของเด็ก พบร่องรอยการถูกกระทำชำเรา และสภาพจิตใจเด็ก ยืนยันจากการแพทย์ วินิจฉัยเป็นโรคซึมเศร้า รู้สึกเป็นตราบาปจนคิดฆ่าตัวตาย อีกทั้งหลักฐานและพยานยังยืนยันได้ถึงพฤตการณ์ของจำเลยทั้ง 11 คน กระทำความผิดจริง
สำหรับคดีนี้ เคยเกิดการประท้วงของชาวบ้านบางส่วน เนื่องจากเห็นว่าทำให้เสียชื่อเสียง คนภายนอกมองว่าหมู่บ้านเกาะแรดไม่ปลอดภัย และตั้งข้อสังเกตการทำงานของเจ้าหน้าที่สืบสวน โดยมีการรวมตัวกันไปยื่นหนังสือต่อรองผู้ว่าราชการ จ.พังงา ขณะที่อีกส่วนก็มีการรวมตัวกันประท้วง เพราะไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง

นายฮานีฟ หยงสตาร์ ทนายความฝ่ายโจทก์
ด้าน นายฮานีฟ หยงสตาร์ ทนายความฝ่ายโจทก์ และมูลนิธิมุสลิมเพื่อสันติภาพ จ.ภูเก็ต ระบุ พอใจในคำตัดสินของศาล แต่จะขอกลับไปหารือกับครอบครัวเด็ก เนื่องจากคำสั่งปรับค่าสินไหมทดแทน เช่น ค่ารักษาโรคซึมเศร้า ค่าเสียโอกาสทางการศึกษาและการประกอบอาชีพ และค่าย้ายที่อยู่ใหม่ ฝ่ายโจทก์ยื่นฟ้องไป 18 ล้านบาท แต่ศาลสั่งให้จำเลยร่วมกันจ่ายประมาณ 7 ล้านบาท
ส่วนที่จำเลยให้นำสืบว่าโจทก์ฟ้องร้องคดีเพื่อเรียกร้องเงิน ศาลพิเคราะห์ว่า จำเลย 1 – 2 ไม่เคยให้การในชั้นสอบสวน คาดว่าเป็นการให้ข่าวกับสำนักข่าวต่างๆ จึงไม่สามารถหักล้างได้ ส่วนใบลงเวลาทำงานของ 11 คน ไม่สามารถยืนยันการทำงานได้ชัดเจน

นายสรรเพชร ทิพย์มณเฑียร ทนายความฝ่ายจำเลย
นายสรรเพชร ทิพย์มณเฑียร ทนายฝ่ายจำเลย กล่าวว่า ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็เคารพในการตัดสินของศาล หลังจากนี้ก็จะดำเนินการยื่นอุทธรณ์ คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ เพื่อให้ทำการพิจารณาคดีอีกครั้งหนึ่งต่อไป
“ทีมข่าวเวิร์คพอยท์” ได้สอบถามชาวบ้านหมู่บ้านเกาะแรด ที่มาร่วมรับฟังคำพิพากษาของศาล หลังศาลได้อ่านคำพิพากษาเสร็จ ผู้หญิงที่เป็นญาติจำเลยทั้ง 11 ร้องไห้เสียใจ ทีมข่าวเข้าไปพูดคุยกับมารดาจำเลยที่ 2 โดยมารดายังเชื่อใจว่าลูกชายไม่ได้กระทำ

สำหรับคดีนี้ ศาลจังหวัดพังงาไช้เวลา 1 ปี ในการไต่สวนพยานทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย ร่วม 70 คน ทั้งนี้ เปิดให้ทั้งสองฝ่ายยื่นอุทธรณ์ ในระยะเวลา 30 วัน









