
เหตุการณ์ยิงกันเสียชีวิตในโรงพยาบางศูนย์นครปฐม ทำให้รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กำชับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพิ่มการดูแลให้เข้มข้น ขณะที่พบข้อมูลผู้ก่อเหตุเพิ่งเข้ารับการบำบัดจิตได้ไม่นาน
จากกรณีที่ นายชัยพร เชาวนะกมล อายุ 31 ปี ได้ก่อเหตุอุกอาจ โดยบุกเข้าไปที่โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม ท่ามกลางคนไข้นับร้อย เพื่อยิงพ่อตา คือ นายสัมพันธ์ ทะนามศรี อายุ 60 ปี และยิงภรรยาของตนเอง คือ น.ส.ธัญญามาศ ทะนามศรี อายุ 26 ปี เสียชีวิต และกระสุนปืนยังถูกลูกหลงเป็นชาวบ้านเพศหญิง วัย 53 ปี อีก 1 ราย ก่อนจะจ่อยิงตัวเองหวังปลิดชีพตาม แต่ไม่ตาย โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (15 มิ.ย. 61) ตามข่าวที่ได้เสนอไปแล้วนั้น (อ่านข่าว: เขยโหดจ่อยิงหัวพ่อตา-เมียดับกลาง รพ.นครปฐม ก่อนยิงหัวตัวเองหวังฆ่าตัวตายตาม)

ล่าสุดวันนี้ (16 มิ.ย. 61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ครอบครัวทะนามศรี เข้ารับศพของ นายสัมพันธ์ และ น.ส.ธัญญามาศ ทะนามศรี ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตภายในโรงพยาบาลศูนย์นครปฐม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ เพื่อไปบำเพ็ญกุศลแล้ว ที่วัดโพธิ์ราชศรัทธาราม ในอำเภอบางเลน (อ่านข่าว: ญาติรับศพพ่อ-ลูกถูกยิงกลาง รพ.นครปฐม เผย “หลานยังเล็ก จะอยู่กับใคร”)
ส่วนอาการของ นายชัยพร เชาวนะกมล ผู้ก่อเหตุนั้น ขณะนี้ยังคงรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู ด้านแพทย์ที่ทำการรักษาระบุว่า อาการของนายชัยพรขณะนี้ยังน่าเป็นห่วง แม้จะได้ผ่าตัดนำกระสุนออกแล้ว แต่กระสุนได้ทำลายเนื้อสมองส่วนหนึ่ง และยังกระทบกระเทือนแกนสมองอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังพบว่า ก่อนเกิดเหตุนายชัยพรเคยเข้ารับการบำบัดจากจิตแพทย์ เนื่องภาวะความเครียดสูง ซึ่งต้องเข้ารับการบำบัดต่อเนื่องอีกด้วย

นายแพทย์ โอภาส การย์กวินพงศ์ / ภาพจาก Hfocus
ทั้งนี้ เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาล ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นกรณีแรก ซึ่งที่ผ่านมา นายแพทย์ โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า มักจะเกิดขึ้นในห้องฉุกเฉิน ซึ่งทางกระทรวงได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดีมาก ทั้งการมีประตู 2 ชั้นกั้นการเข้าพื้นที่ และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยอำนวยความสะดวก
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลศูนย์นครปฐม เกิดขึ้นที่แผนกนรีเวช ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นต่อไป หากพบว่ามีเหตุวิวาท ถกเถียงเสียงดัง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะต้องรีบเข้าไปแยกผู้ก่อเหตุก่อน เพื่อความปลอดภัย และไม่ให้ผู้อื่นถูกลูกหลง
รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยอมรับว่า โรงพยาบาลเป็นสถานที่เปิด หากตรวจเข้มเกินไปก็จะสร้างความลำบากกับผู้ใช้บริการ แต่ก็จะต้องเพิ่มมาตรการความปลอดภัย 3 ด้าน คือ ขอให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา และอย่าพกอาวุธมาโรงพยาบาล ส่วนเจ้าหน้าที่ต้องเพิ่มมาตรการตรวจตราและสังเกตการณ์ รวมทั้งติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มด้วย









