
จากรายงานประจำปีล่าสุด ขสมก. ขาดทุนสะสมกว่าแสนล้านบาท ส่วนหนึ่งเพราะโครงสร้างต้น
ภาษีของประชาชน ถูกใช้ไปอย่างเสียเปล่ากับเ

1.15 พันล้าน ยกเลิกสัญญา ฟังไม่ขึ้น
กรณีรถเมล์ NGV ของ ขสมก. จำนวน 489 ที่เป็นมหากาพย์มาอย่างยาวนานกว่า 12 ปี ผ่านการล้มประมูลไปถึง 6 ครั้ง ซึ่งท้ายที่สุดได้ กลุ่มบริษัท ช ทวี ชนะการประมูลไป และเพิ่งได้เริ่มทยอยวิ่งไปเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อวานนี้ (10 เม.ย) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้ ขสมก. ชำระค่าเสียหายกว่า 1,159.97 ล้านบาท ให้บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด และอีก 3 บริษัท ซึ่งเคยเป็นผู้ชนะการประมูลรถเมล์ NGV มาก่อน แต่ถูกยกเลิกสัญญา เนื่องจาก ขสมก. อ้างว่าผิดข้อตกลง เพราะนำเข้ารถจากประเทศมาเลเซีย แทนที่จะเป็นประเทศจีนตามที่ตกลงในสัญญา
โดยศาลปกครองมีความเห็นว่า ประกาศจัดซื้อ ของ ขสมก. ไม่ได้ถือเรื่องแหล่งประกอบรถเมล์เป็นสาระสำคัญ อีกทั้งการนำรถจากประเทศมาเลเซีย ก็ไม่นับเป็นปัญหาที่จะทำมาให้บริการประชาชน คำอ้างของ ขสมก. ในการยกเลิกสัญญาจึงไม่อาจรับฟังได้
นอกจากนี้ ศาลปกครองกลาง ยังสั่งให้หยุดการส่งมอบรถเมล์ NGV ที่บริษัท ช ทวี เป็นผู้ชนะประมูลชั่วคราว เนื่องจากศาลเห็นว่า มีการลงมติจัดซื้อรถเมล์ NGV เป็นเท็จ พบว่ากรรมการบางท่านไม่ได้ลงมติเห็นชอบแต่อย่างใด ในขณะที่ ขสมก. เตรียมยื่นอุทธรณ์ทุกกรณี

1.6 พันล้าน กับ กล่องเก็บค่าโดยสารที่ใช้ไม่ได้
เมื่อวันที่ 27 มี.ค ที่ผ่านมา นายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานคณะกรรมการบริหารกิจการ (บอร์ด) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ได้สั่งยกเลิกกล่องเก็บค่าโดยสาร “แคชบ๊อกซ์” (Cash Box) บนรถประจำทางทุกคัน ทั้งหมด 2,600 คัน
เนื่องจากพบว่าระบบไม่เสถียร ไม่สามารถใช้งานได้จริง โดยมีเป้าหมายในตอนต้นเพื่อ ลดจำนวนพนักงานเก็บค่าโดยสาร แต่ผลสุดท้ายก็ยังคงต้องใช้พนักงานอยู่ดี จึงตัดสินใจสั่งยกเลิกทุกคัน จากเดิมที่ตั้งใจจะเก็บไว้ 100 คัน
สำหรับเครื่อง E-Ticket อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจรับ โดยได้ทำการติดตั้งล็อตแรกแล้ว 800 คัน ซึ่งขสมก.จะเรียกค่าปรับจากเอกชน ฐานส่งมอบล่าช้า และทำให้ ขสมก. สูญเสียรายได้ เพราะเครื่องอี-ทิคเก็ตไม่สามารถอ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้
โดยโครงการเช่าระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์พร้อมอุปกรณ์ (E-Ticket) และกล่องเก็บค่าโดยสาร (Cash Box) มีวงเงิน 1,665 ล้านบาท สัมปทาน 5 ปี โดยมีบริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) เป็นคู่สัญญา

เปลี่ยนเลขรถเมล์ใหม่ สุดท้ายไม่ได้ใช้ ค่าวิจัย 26 ล้านบาท
เมื่อช่วงเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว มีการทดลองปรับเปลี่ยนเลขสายรถเมล์ใหม่ โดยนำเอาตัวอักษรภาษาอังกฤษเข้ามาใช้ด้วย ส่งผลให้ประชาชนเกิดความสับสนเป็นจำนวนมาก
ทดลองไปได้เพียงเดือนเดียว อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ก็ได้ตัดสินใจยุติการทดสอบโครงการนี้ ซึ่งมีงบประมาณในการวิจัยสูงถึง 26 ล้านบาท โดยจะทำการประเมินผลร่วมกับ TDRI และปฏิรูปรถเมล์อีกครั้ง ในปี 2562
ด้านสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ขสมก. เปิดเผยว่า โครงการทดสอบเปลี่ยนเลขสายรถเมล์ ส่งผลให้ ขสมก. ขาดรายได้ จากปกติ 3,500 – 4,000 บาทต่อวัน เหลือเพียง 700-800 บาทต่อวัน จึงต้องการให้มีการ ชดเชยงบประมาณกว่า 6 ล้านบาท ให้กับ ขสมก.









