อาจเป็นจังหวะเวลาที่ไม่ดีนักของรัฐบาลที่ในช่วงที่อุณหภูมิทางการเมืองเริ่มร้อนแรง ราคาน้ำมันรวมทั้งก๊าซหุงต้มซึ่งพากันปรับขึ้นราคาผลพวงจากมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐ ฯ ส่งผลให้ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือนราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับขึ้นกว่า 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินในประเทศปรับขึ้นไปกว่า 4 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลปรับเพิ่ม 3.2 บาทดอลลาร์ต่อลิตร ส่วนก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือน (ก๊าซหุงต้ม) ก็ปรับราคาเพิ่มขึ้นกว่า 10%จาก 363 บาทต่อถัง เป็น 395 บาทต่อถัง ทำให้เกิดความกังวลว่าค่าครองชีพของประชาชน ทั้งค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายในการเดินทางอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (ภาพจาก ทำเนียบรัฐบาล)
เมื่อราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นรวดเร็วแรงกดดันก็ตกมาอยู่บนบ่าของรัฐบาล ไล่เรียงตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องออกมายืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันขึ้นแต่ราคาที่ปรับเพิ่มเป็นไปตามกลไกของตลาดโลก
“อยากให้ประชาชนคนไทยได้เข้าใจว่า ราคาน้ำมันปรับขึ้นไม่ใช่เป็นเพราะรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลก็ไม่อยากให้มีการปรับขึ้น” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว เมื่อ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี (ภาพจาก ทำเนียบรัฐบาล)
- หัวหน้าทีมเศรษฐกิจสั่งรับมือราคาน้ำมันขาขึ้น
ด้านหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ถึงแม้จะบอกว่าไม่กังวลเพราะเมืองไทยเคยผ่านช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลมาแล้วก็ยังสามารถที่จะรับมือได้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้สมคิดเองก็นิ่งเฉยไม่ได้ต้องรีบสั่งการให้กระทรวงเศรษฐกิจหาทางรับมือและลดผลกระทบของประชาชนให้ได้มากที่สุด

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์
หลังจากที่รองนายกฯเศรษฐกิจสั่งการเพียง 1 วัน สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ก็ได้เรียกตัวแทนผู้ประกอบการ และซัพพายเออร์มาหารือและขอความร่วมมือในการตรึงราคาสินค้าเพื่อลดผลกระทบของประชาชนพร้อมกล่าว สั่งการให้กรมการค้าภายในติดตามและศึกษาโครงสร้างต้นทุนสินค้าต่างๆ ว่ามีสินค้าอะไรบ้างที่จะได้รับผลกระทบต่อต้นทุนและราคาที่เพิ่มขึ้น โดยจะออกมาตรการดูแลที่สมดุลและไม่กระทบต่อผู้บริโภค ซึ่งเบื้องต้นกรมฯรายงานว่ามีผลต่อต้นทุนบางรายการขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน ในฐานะประธาน กบง.
- กบง.เคาะลดก๊าซหุงต้ม 32 บาทต่อถัง ใช้เงิน 300 ล้านบาทอุดหนุน
หัวใจของการรับมือราคาน้ำมันขาขึ้นครั้งนี้อยู่ที่กระทรวงพลังงาน ที่มีทั้งหน่วยงานในสังกัด กฎหมาย และ เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นเครื่องมือในการรับมือ หากมีกลไกในการดูแลราคาพลังงานได้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ต้นทุนในการประกอบธุรกิจก็จะไม่เพิ่มขึ้น การขยับปรับราคาสินค้าหรือค่าขนส่งก็อาจไม่เกิดขึ้น
ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน ได้รีบเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) ในช่วงเย็นของวันที่ 24 พ.ค. โดยที่ประชุม กบง.ได้มีมติในการดูแลค่าครองชีพประชาชนในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในทิศทางราคาขาขึ้น ประกอบไปด้วย มาตรการลดราคาขายปลีกแอลพีจีภาคครัวเรือนลง 32 บาทต่อถัง 15 ก.ก.จากราคาขายปลีกปัจจุบันอยู่ที่ 395 บาทต่อถัง 15 ก.ก. ทำให้ราคาลดลงเหลือ 365 บาทต่อถัง 15 ก.ก. โดยให้มีผลตั้งแต่วันจันทร์ที่ 28 พ.ค.นี้ โดยมาตรการนี้จะช่วยลดเหตุผลในการปรับขึ้นราคาอาหารจานด่วนเพราะเมื่อราคาก๊าซหุงต้มไม่ปรับขึ้นราคา พ่อค้า-แม้ค้า ร้านอาหารต่างๆก็ไม่สามารถใช้เหตุผลนี้ในการปรับขึ้นราคาขายอาหารได้
รมว.พลังงานบอกว่าการปรับลดลงของราคาก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือนลง 32 บาทต่อถังในครั้งนี้ กบง.จะใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันฯในส่วนบัญชีแอลพีจีที่เหลืออยู่ 515 ล้านบาท มาอุดหนุนราคาแอลพีจีในส่วนนี้ 10 บาทต่อถัง ส่วนอีก 20 บาทต่อถังคาดว่าราคาจะปรับลดลงได้ตามราคาตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับลดลง โดยมาตรการนี้คาดว่าจะใช้เงินอุดหนุน 300 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการได้ 2 เดือน
แต่หากราคาแอลพีจีในตลาดโลกปรับลดลงกองทุนก็สามารถลดเงินที่จะใช้อุดหนุนได้ อย่างไรก็ตามหากทิศทางแอลพีจีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจนเงินกองทุนน้ำมันฯในส่วนบัญชีแอลพีจีหมดลง กบง.ก็สามารถประชุมเพื่อหาแนวทางในการดูแลราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนต่อไปโดยอาจกู้ยืมเงินจากกองทุนน้ำมันฯในส่วนของบัญชชีน้ำมันที่มีเงินคงเหลืออยู่ 30,505 ล้านบาท มาบริหารเพิ่มเติมหรืออาจกู้เงินจากแหล่งอื่นได้
- ตรึงดีเซลลิตรละ 30 บาท เตรียม 3 หมื่นล้านรับมือได้ 10 เดือน
สำหรับมาตรการที่สองคือการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาทต่อลิตร โดยเป็นการตรึงราคาไว้ชั่วคราว มาตรการตรึงราคาดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยให้มีผลทันทีตั้งแต่ในวันที่ 24 พ.ค.ซึ่งหากราคาน้ำมันปรับขึ้นจนทำให้ดีเซลขายปลีกเกิน 30 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯจะเข้าไปอุดหนุนราคาเพื่อให้ผู้ประกอบการคงราคาขายปลีกไว้ที่ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร
โดยสถานะกองทุนน้ำมันฯในส่วนของบัญชีน้ำมันเชื้อเพลิงมีวงเงินอยู่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเพียงพอใช้ดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินระดับ 30 บาทต่อลิตรไปได้อีกประมาณ 10 เดือนในกรณีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่ปรับเพิ่มขึ้นสูงขึ้นกว่า 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
- เร่งขายดีเซลเกรดพิเศษบี 20 ถูกกว่าดีเซลทั่วไปลิตรละ 3 บาท
กระทรวงพลังงานยังอยู่ระหว่างการประสานกับผู้ประกอบการภาคขนส่งและผู้ประกอบการรถสาธารณะให้เตรียมความพร้อมในการมาใช้น้ำมันดีเซลเกรดพิเศษบี 20 ซึ่งจะมีราคาถูกกว่าราคาน้ำมันดีเซลทั่วไปประมาณ 3 บาทต่อลิตร ซึ่งกระทรวงพลังงานจะเร่งรัดให้ออกมาจำหน่ายได้ใน 1 – 2 เดือน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการภาคขนส่งและรถสาธารณะไม่มีต้นทุนราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นทำให้ไม่จำเป็นต้องขึ้นค่าขนส่ง
- เตรียม 2 ทางเลือกรับมือ กู้เพิ่ม 1.5 หมื่นล้าน – ลดสรรพสามิตดีเซล พยุงราคาน้ำมัน
รมว.พลังงานยังบอกด้วยว่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศเครื่องมือในการดูแลราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันมีอยู่ 2 รูปแบบคือการบริหารโดยใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฯ ซึ่งที่เคยทำมาแล้วคือการนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯมาอุดหนุนราคาน้ำมันขายปลีก
ส่วนอีกเครื่องมือหนึ่งคือ การปรับลดภาษีสรรพสามิตราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งในอนาคตหากราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นมาก จนราคาในตลาดโลกขยับตัวสูงเกิน 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเป็นระยะเวลานานจนทำให้กองทุนน้ำมันฯใช้เงินหมดหน้าตักที่มีอยู่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ในสถานการณ์เช่นนั้นทางเลือกในการรับมือราคาน้ำมันขาขึ้นมีอยู่ 2 ทางเลือก ทางเลือกที่หนึ่งคือการใช้กองทุนน้ำมันฯไปกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อนำมาอุดหนุนราคาน้ำมันไม่ให้ราคาดีเซลเกิน 30 บาทต่อลิตร แต่การกู้เงินในครั้งนี้จะจำกัดการกู้ไว้เพียง 10,000 – 15,000 ล้านบาทเท่านั้น ต่างจากในอดีตที่กองทุนน้ำมันเคยมีการกู้เงินสูงสุดถึง 8 – 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าใช้กองทุนน้ำมันฯไปก่อหนี้สูงจนเกินไปซึ่งปัจจุบันจะไม่เห็นการกู้ในระดับนั้นอีกแล้ว
ส่วนทางเลือกที่สองซึ่งเป็นทางเลือกที่เคยใช้มาแล้วในอดีตคือการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันนดีเซลที่ปัจจุบันเก็บอยู่ 5.80 บาทต่อลิตร แต่การยกเลิกกรจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล หรือการรเก็บในอัตราต่ำมากเหมือนกับที่บางรัฐบาลเลือกใช้การจัดเก็บเพียง 0.005 บาทต่อลิตร แต่การใช้มาตรการนี้ก็จะกระทบการจัดเก็บรายได้ภาครัฐได้ถึงประมาณเดือนละ 9,000 ล้านบาท หรือประมาณ 1.08 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งหากเลือกใช้วิธีนี้ย่อมกระทบการจัดเก็บงบประมาณในภาพรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ภาพจาก PTT News
ในแง่หนึ่ง..ราคาน้ำมันและราคาพลังงานมักถูกทำให้เป็นสินค้าทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลมักเลือกเข้าไปแทรกแซง มากกว่าปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ในครั้งนี้ก็เช่นกันหากดูหน้าตักของรัฐบาลในการรับมือกับน้ำมันขาขึ้นรัฐบาลมีเงินกองทุนน้ำมันฯกว่า 3 หมื่นล้านบาท และมีแผนการกู้เงินในกรณีจำเป็นตามที่รมว.พลังงานบอกไว้ว่าไม่เกิน 15,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลมีเม็ดเงินรับมือน้ำมันขาขึ้นได้ โดยไม่ต้องลดภาษีสรรพสามิตดีเซล 45,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินไม่น้อยแต่ก็จะประมาทไม่ได้เพราะในอดีตช่วงที่ราคาน้ำมันกระชากขึ้นอย่างรวดเร็ว กองทุนน้ำมันฯก็เคยมีสถานะติดลบจนต้องกู้เงินจำนวนมากมาบริหารมาแล้ว
สถานการณ์ราคาน้ำมันขาขึ้น จึงเป็นอีกปัจจัยชี้วัดความสามารถในการบริหารงานของรัฐบาล ว่าจะเลือกเครื่องมือใดมาใช้บริหารราคาน้ำมัน โดยเฉพาะหากราคาน้ำมันยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจะต้องเลือกให้ดีว่าจะใช้วิธีตรึงราคา อุดหนุน ลดภาษีสรรพสามิต หรือจะกู้เงินมาใช้ในกองทุนฯน้ำมันเพิ่มเติม รัฐบาลมีอำนาจในการตัดสินใจใช้มาตรการต่างๆเพื่อบริหารราคาพลังงาน แต่จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมต่อการบริหารเศรษฐกิจในภาพรวมมากกว่ามุ่งตอบสนองปัจจัยทางการเมือง และต้องสื่อสารให้สาธารณะเข้าใจว่าการตัดสินใจเลือกมาตรการแต่ละชุดมาใช้ดำเนินการอยู่บนเหตุผลและความจำเป็นแบบใด
บทความโดย : รุจน์ รฐนนท์









