
ศาลทั่วประเทศลดคดีอาญาเกินกว่า 2 ปีเหลือเพียง 112 เรื่อง ส่วนกลุ่มคดีแพ่งค้างเกินกว่า 2 ปีเหลือเพียง 52 เรื่อง
วันที่ 8 มี.ค. นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการศาลยุติธรรม ครั้งที่ 2/2562 (กลุ่มศาลชั้นต้นในกรุงเทพ และ ศาลชำนัญพิเศษ) ณ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ โดยมีรองประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นในกรุงเทพมหานคร ศาลชำนัญพิเศษ ศาลแรงงานภาค ตลอดจนผู้บริหารในศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม และสำนักประธานศาลฎีกา เข้าร่วมการประชุม

อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นในกรุงเทพมหานครและศาลชำนัญพิเศษ แถลงผลการดำเนินงานตามนโยบายของประธานศาลฎีกา ซึ่งกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการคดีให้แล้วเสร็จ ภายใน 2 ปี ผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ณ วันที่ 28 ก.พ. 2562 กลุ่มศาลคดีอาญามีคดีค้างพิจารณาเกินกว่า 2 ปี รวมทุกศาลเหลือจำนวน 112 เรื่อง กลุ่มศาลคดีแพ่งมีคดีค้างพิจารณาเกินกว่า 2 ปี รวมทุกศาลเหลือจำนวน 52 เรื่อง
ส่วนคดีในกลุ่มศาลชำนัญพิเศษ มีเพียงศาลเยาวชนฯ กลาง เหลือเพียง 6 เรื่อง ศาลล้มละลายกลางเหลือเพียง 2 เรื่อง และศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ เหลือเพียง 7 เรื่อง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนถือว่าจำนวนคดีค้างนานลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ประธานศาลฎีกา ขอบคุณผู้บริหารทุกท่านที่ช่วยกันทำงานให้เป็นไปตามนโยบาย และขอให้ผู้บริหารทุกท่านช่วยกันทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมไม่ให้มีคดีค้างนานเกินกว่า 2 ปี และลดระยะเวลาการพิจารณาให้เหลือเพียงไม่เกิน 1 ปีให้ได้ในที่สุด
ประธานศาลฎีกา ยังเน้นย้ำกับผู้บริหารศาลชั้นต้นทุกท่านว่า การบริหารงานศาลนั้น มิใช่พูดแต่เพียงว่าศาลนั้นมีปัญหาอย่างไรและต้องการสิ่งใด แต่จะต้องลงมือแก้ไขปัญหาทำให้ดีขึ้นภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่เท่าเดิม จึงจะสะท้อนความสามารถในการบริหารงานได้อย่างแท้จริง การบริหารงานนั้นศาลในกลุ่มเดียวกันที่มีประเภทคดีเหมือนกันอาจช่วยกันคิดช่วยกันพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมร่วมกัน ทั้งนี้ไม่ว่าจะบริหารหรือพัฒนางานศาลด้วยวิธีการใดขอให้พิจารณาเป้าหมายที่ประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นสำคัญ









