แม้แต่กูเกิลยังยอมรับว่าความรู้ไม่สำคัญเท่าทักษะทางอารมณ์

แม้แต่กูเกิลยังยอมรับว่าความรู้ไม่สำคัญเท่าทักษะทางอารมณ์

FEATURES

กูเกิลอึ้งเมื่อพบว่าความสำเร็จในการทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างที่เคยเชื่อ หากแต่มาจากทักษะทางอารมณ์

ความเชื่อเดิมเกี่ยวกับทักษะประจำศตวรรษที่ 21 ที่นักเรียนนักศึกษาจำเป็นต้องมีคือ STEM ย่อมาจาก Science (วิทยาศาสตร์) Technology (เทคโนโลยี) Engineering (วิศวกรรม) Math (คณิตศาสตร์) รวมทั้งต้องเรียนรู้วิธีเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วย แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย

Cathy N. Davidson ผู้อำนวยการก่อตั้งของ Futures Initiative และอาจารย์ประจำภาควิชาปริญญาเอกที่ City University of New York บอกว่านักเรียนทั่วสหรัฐกังวลมากเวลาต้องเขียนเรียงความสมัครเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในหัวข้อ “สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากเป็น…” ซึ่งทั้งผู้เชี่ยวชาญและพ่อแม่ต่างแนะนำให้เน้นที่ STEM เพราะช่วยรับประกันว่าจะมีงานทำอนาคต แต่ผลการวิจัยเมื่อไม่นานนี้เกี่ยวกับความสำเร็จในการทำงานขัดแย้งกับความเชื่อเดิมที่ว่าต้องมี “ทักษะด้านความรู้” (hard skills) และที่น่าประหลาดใจคือ การวิจัยนี้มาจากบริษัทที่โดดเด่นที่สุดในเรื่อง STEM นั่นคือ “กูเกิล”

เซอร์เกย์ บรินและแลร์รี เพจ ก่อตั้งบริษัทกูเกิลด้วยความเชื่อที่ว่ามีเพียงนักเทคโนโลยีเท่านั้นที่เข้าใจเทคโนโลยีได้ ในช่วงแรกกูเกิลจึงตั้งระบบการจ้างงานที่คัดแต่นักศึกษาเอกคอมพิวเตอร์ระดับหัวกะทิจากมหาวิทยาลัยชั้นนำเท่านั้น

ปี 2556 กูเกิลทดสอบสมมุติฐานการจ้างงานใหม่โดยใช้ข้อมูลการจ้างงาน การให้ออกจากงาน และการเลื่อนตำแหน่งที่รวบรวมตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2541 ผลที่ออกมาทำให้หลายคนตะลึงเพราะในบรรดาคุณสมบัติสำคัญที่สุดของพนักงานแถวหน้า 8 ข้อ STEM มาเป็นที่โหล่ ส่วน 7 อันดับแรกที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จล้วนเป็นทักษะทางอารมณ์ (soft skills) เช่น มีทักษะการสื่อสาร เป็นผู้ฟังที่ดีรับฟังมุมมองคนอื่น เข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ แก้ปัญหายามเกิดภาวะคับขันได้ ฯลฯ

คุณสมบัติพวกนี้ฟังดูเป็นของคนเรียนสายศิลป์มากกว่าโปรแกรมเมอร์ แม้จะมีคำถามว่าคนที่ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคสามารถประสบความสำเร็จได้ในบริษัทไฮเทคอย่างกูเกิลจริงหรือ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือกูเกิลขยายการรับคนที่จบสายมนุษยศาสตร์ ศิลปิน หรือแม้แต่คนที่จบ MBA ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั้งบรินและเพจเคยไม่เห็นด้วยเลย

การศึกษา Project Aristotle ของกูเกิลเมื่อปีที่แล้วยิ่งสนับสนุนความสำคัญเรื่องทักษะทางอารมณ์ การศึกษานี้วิเคราะห์ทีมสร้างสรรค์กับทีมผลิต ที่ผ่านมากูเกิลภูมิใจทีม A ของตัวเองซึ่งประกอบไปด้วยนักวิทยาศาสตร์ระดับท็อป แต่ละคนมีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและเสนอแนวคิดล้ำสมัยอยู่ตลอดเวลาแต่ปรากฏว่าความคิดสำคัญใหม่ ๆ ที่เป็นรูปเป็นร่างให้ผลลัพธ์มากที่สุดกลับมาจากทีม B ซึ่งประกอบด้วยพนักงานที่ไม่ใช่ทุกคนติดกลุ่มหัวกะทิ

Project Aristotle ชี้ว่าทีมดีที่สุดของกูเกิลคือทีมที่มีทักษะทางอารมณ์ทั้งความเท่าเทียม ความเอื้อเฟื้อ ความสนใจความคิดของเพื่อนในทีม ความรู้สึกร่วม และความฉลาดทางอารมณ์ เหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกปลอดภัยทางอารมณ์ ไม่มีการกลั่นแกล้งกัน และเพื่อให้ประสบความสำเร็จ สมาชิกในทีมแต่ละคนและทุกคนจะต้องรู้สึกมั่นใจที่จะพูดและต้องรู้ว่ามีคนรับฟังสิ่งที่พวกเขาพูด

ไม่เฉพาะกูเกิลเท่านั้นที่ศึกษาเรื่องนี้ เมื่อไม่นานนี้มีการสำรวจบริษัท 260 แห่งรวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Chevron และ IBM ปรากฏว่าทักษะด้านการสื่อสารคือ 1 ใน 3 คุณสมบัติแรกที่นายจ้างมองหามากที่สุดเวลาจ้างงาน ทักษะที่ว่านี้คือความสามารถในการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานและปฏิภาณไหวพริบในการสื่อสารสินค้าและงานของบริษัทภายนอกองค์กร

STEM เป็นสิ่งจำเป็นในโลกปัจจุบันก็จริงแต่เทคโนโลยีอย่างเดียวไม่พอซึ่งเป็นสิ่งที่สตีฟ จ็อบส์เคยบอกไว้ ไม่ควรมีนักเรียนนักศึกษาคนไหนไม่ได้เรียนสิ่งที่ตัวเองรักเพียงเพราะความคิดผิด ๆ เกี่ยวกับทักษะที่จำเพื่อให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน จริง ๆ แล้วสิ่งที่จะทำให้คนเราประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ล้ำสมัยแต่อาจเป็นสังคมศาสตร์หรือแม้แต่มานุษยวิทยาและศิลปะที่จะทำให้คุณไม่ได้เป็นแค่คนทำงานหากแต่เป็น “ส่วนหนึ่งของโลกใบนี้”

 

 

ที่มา The surprising thing Google learned about its employees — and what it means for today’s students

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง