
ประเด็นคือ – “หัวหน้าวิเชียร” ลั่น คนทุ่งใหญ่มีศักดิ์ศรี ไม่ต้องการเงิน “เปรมชัย” แม้แต่บาทเดียว ชี้จะเป็นใครก็ช่าง หากทำผิดก็ว่ากันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย เผยนาทีจับกุม พรานไฮโซ-พวก หยั่งเชิง ต่อรอง
วันที่ 8 ก.พ. 61 พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อม เป็นประธานประชุม คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ วาระพิเศษ เรื่อง สถานการณ์ลักลอบเข้าไปตั้งแคมป์ และล่าสัตว์ป่าในพื้นที่หวงห้าม หลังเกิดเหตุการณ์จับกุม นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานกรรมการบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวก คดีลักลอบล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทุ่งใหญ่นเรศวร โดยได้เรียก นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เข้าร่วมประชุมและรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดให้ที่ประชุมรับทราบ
โดย นายวิเชียร ชินวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทุ่งใหญ่นเรศวร ได้เผยถึงเหตุการณ์ขณะจับกุมนายเปรมชัยและพวกว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตักเตือนให้ออกจากพื้นที่ดังกล่าว แต่ก็ไม่มีการย้ายออก โดยอ้างว่าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยในการเดินป่าช่วงกลางคืน จึงทำให้เชื่อว่ามีความผิดปกติ และเมื่อมีเสียงปืนดังขึ้น เจ้าหน้าที่จึงเข้าจับกุม แต่นายเปรมชัยและพวกพยายามเจรจาต่อรอง ซึ่งตนได้ปฏิเสธและยืนยันว่า ไม่มีใครต้องการได้เงินจากนายเปรมชัยแม้แต่บาทเดียว โดยหลังจากนี้จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราการเข้า-ออกด้วย

“จะเป็นใครก็ช่างครับ หากทำผิดก็ว่ากันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย เขาก็บอกว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร ทำงานที่ไหน อยู่ที่ไหน ซึ่งเราก็ไม่สนใจ
“เขาไม่ได้พูดตรงๆ ไม่ได้เสนอว่า ต้องเป็นเงินกี่บาท แต่ก็มีการพูดหยั่งเชิงดูว่า เราจะมีท่าทีเอนเอียงไปทางเขาไหม ผมขอเรียนว่า คนทุ่งใหญ่เรามีศักดิ์ศรี แม้ว่าเราจะอยู่ในป่า เราไม่มีเงิน แต่เราก็ไม่ได้อยากได้เงินจากคุณเปรมชัยแม้แต่บาทเดียว” นายวิเชียร กล่าว
ทางด้าน พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี อดีตรอง ผบ.ตร. กล่าวว่า การตรวจสอบหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมหลักฐานวัตถุพยาน พยานแวดล้อม หลักฐานอื่นที่เชื่อมโยงกัน ทั้งก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ พร้อมฝากถึงผู้ต้องหาว่า การปฏิเสธหรือการต่อสู้คดีอาจทำให้เสียเวลา เพราะเจ้าหน้าที่ได้เก็บพยานหลักฐานทั้งหมดไว้ และมั่นใจว่าสามารถดำเนินคดีเอาผิดได้
อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็อยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของกฤษฎีกา โดยบทลงโทษของกฎหมายฉบับใหม่จะสูงขึ้น เชื่อว่าจะทำให้บุคคลที่คิดจะทำความผิด มีความเกรงกลัวมากยิ่งขึ้น จากกระแสสังคมที่เกิดขึ้น เชื่อว่าจะทำให้ทุกคนเกิดความตื่นตัว หันมาดูแลและรักษาทรัพยากรธรรมชาติมากยิ่งขึ้น









