A World of Married Couple และหนังดังที่ชวนคนเกาหลีทบทวนแนวคิดขงจื๊อ

A World of Married Couple และหนังดังที่ชวนคนเกาหลีทบทวนแนวคิดขงจื๊อ

FEATURES

ประเทศเกาหลีใต้เป็นหนึ่งในหลายประเทศแถบเอเซียตะวันออกที่รับเอาแนวคิดขงจื๊อมาปรับใช้กับวิถีการดำเนินชีวิต โดยแนวคิดขงจื๊อถูกเผยแพร่เข้ามาในประเทศเกาหลีตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 พร้อมๆกับศาสนาพุทธแม้เวลาผ่านไปศาสนาพุทธเสื่อมความนิยมลงแต่แนวคิดขงจื๊อก็ยังอยู่คู่กับสังคมเกาหลีมาจนถึงปัจจุบัน 

แก่นสำคัญของแนวคิดขงจื๊อคือความเชื่อที่ว่า สังคมคือตัวแปรสำคัญของทุกสิ่ง สังคมจะดำรงได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกในทุกหน่วยของสังคมรู้จักหน้าที่ของตัวเองและปฏิบัติตามหน้าที่ที่มีอย่างเคร่งครัด โดยขงจื๊อได้จัดความเกี่ยวข้องหรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 5 ประเภทรวมถึงกำหนดหน้าที่ที่บุคคลประเภทต่างๆพึงปฏิบัติต่อกันดังนี้

  1. ผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง โดยผู้ปกครองต้องปกครองผู้ใต้ปกครองอย่างเป็นธรรมและให้เกียรติ ในขณะที่ผู้ใต้ปกครองต้องจงรักภักดีต่อผู้ปกครอง
  2. บิดามารดากับบุตรและธิดา โดยบิดามารดาต้องให้ความเมตตากรุณา ส่วนบุตรธิดาต้องเชื่อฟัง และมีความกตัญญูกตเวที
  3. สามีกับภรรยา โดยสามีต้องมีคุณธรรม ขณะที่ภรรยาก็ต้องเชื่อฟังสามี
  4. พี่กับน้อง โดยพี่ต้องประพฤติตัวให้สมกับความเป็นพี่ ส่วนน้องก็ต้องเคารพเชื่อฟังพี่
  5. เพื่อนกับเพื่อน โดยเพื่อนต้องสร้างความไว้วางใจให้แก่กันและต้องสร้างความเชื่อใจกันได้

แม้เวลาผ่านไป พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่าง แต่แนวคิดขงจื๊อยังคงฝังรากลึกในสังคมเกาหลี หลายคนพยายามตั้งคำถามถึงความร่วมสมัยของแนวคิดที่ดูเหมือนจะไม่เข้ากันไม่ได้กับสภาพสังคมเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบทบาทสตรีที่ถูกกำหนดให้เป็น แม่ เมีย และลูกสาวที่ดี หรือ ผู้บทของน้อยต้องเคารพและเชื่อฟังของผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน แต่ดูเหมือนว่า เสียงส่วนใหญ่ของสังคมยังเชื่อว่าแนวคิดขงจื๊อเป็นแนวคิดที่มีความจำเป็นต่อสังคม และไม่ควรเปลี่ยนแปลง

นอกจากวิถีการดำเนินชีวิตแล้ว แนวคิดขงจื๊อได้ถูกสอดแทรกเข้าไปในงานศิลปะประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ วรรณกรรม หรือแม้แต่ภาพยนตร์และซีรีส์ทางโทรทัศน์ สำหรับภาพยนตร์ และซีรี่ส์ แนวคิดขงจื๊อถูกนำเสนอ 2 ลักษณะ ได้แก่ การเชิดชู และ การวิพากษ์

Train to Busan กับแนวคิดขงจื๊อเรื่องการทำหน้าที่

 

ภาพยนตร์ที่เชิดชูแนวคิดขงจื๊อส่วนใหญ่มักเป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวของ ตัวละคร (ชายเสียส่วนใหญ่) ที่ต้องถูกทดสอบบทบาทและหน้าที่พึงกระทำ ไม่ว่าจะในฐานะของ คนรักที่ต้องปกป้องคนที่รัก พ่อที่ต้องปกป้องลูก หรือ ลูกที่ต้องตอบแทนพระคุณของพ่อแม่  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดได้แก่ภาพยนตร์เรื่อง Train to Busan (2016) ที่เป็นเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่ง ทีต้องโดยสารรถไฟจากเมืองหลวง โดยมีจุดหมายคือเมืองบูซานที่อยู่ทางใต้สุดของประเทศ โดยในเวลาเดียวกันได้เกิดเชื้อไวรัสระบาดส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากกลายเป็นซอมบี้ออกเข่นฆ่าคนปกติ  

หากเปรียบรถไฟขบวนดังกล่าวเป็นสังคมเกาหลี ผู้โดยสารที่อยู่ในรถไฟขบวนนั้น ซึ่งประกอบด้วย พ่อที่บ้างานจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัวแต่ต้องพาลูกสาวไปส่งให้ภรรยาที่เมืองบูซาน  สามีที่ต้องดูแลภรรยาท้องแก่ใกล้คลอด  คู่รักนักเรียน พี่สาวและน้องสาวสูงอายุ นายสถานีผู้เห็นแก่ตัว และคนบ้าที่เสียสละ คือตัวแทนของสมาชิกในสังคม  ขณะที่เหล่าซอมบี้ที่ออกไล่ล่ามนุษย์อย่างบ้าคลั่ง ก็เปรียบได้กับวิกฤตการณ์ที่สังคมต้องเผชิญ

 สิ่งที่ภาพยนตร์ได้สื่อสารกับผู้ชม นอกเหนือจากเนื้อเรื่องที่น่าตื่นเต้นแล้ว ก็คือ การย้ำเตือนว่า ในภาวะที่สังคมเผชิญวิกฤต ตัวแปรที่จะทำให้สังคมรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ คือปัจเจกที่รู้จักหน้าที่ตนเอง  หน้าที่ที่ว่าคือ การตระหนักต่อบทบาทที่ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพ่อที่ต้องปกป้องลูกสาว  สามีที่ต้องปกป้องภรรยา พี่สาวที่ยืนยันว่าจะอยู่ข้างน้องสาวตลอดเวลา หรือคนบ้าที่แม้ว่าคนอื่นเห็นว่าไม่มีค่า แต่กลับยอมเสียสละชีวิตเพื่อช่วยคนที่เหลือให้มีชีวิตต่อไป    ขณะที่ตัวละครที่ไม่ตระหนักถึงหน้าที่ตัวเองอย่าง นายสถานีผู้เห็นแก่ตัว  ก็ต้องพบจุดจบอย่างน่าเวทนา 

แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ตัวละครหลักเกือบทั้งหมดต้องเสียชีวิต แต่ผลจากการที่พวกเขาได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ก็ทำให้อย่างน้อย ผู้ที่ที่รอดชีวิตยังคงทำหน้าที่ที่พึงกระทำต่อไป โดยลูกสาวที่รอดชีวิตก็จะทำหน้าที่ลูกที่ดีให้แม่ ส่วนภรรยาที่ตั้งครรภ์ ก็จะทำหน้าที่บ่มเพาะลูกที่เกิดมาให้เป็นคนดีเหมือนกับสามีที่ยอมสละชีวิตเพื่อเธอ  แต่ที่สำคัญกว่านั้น ตัวละครที่รอดชีวิตมาได้ทั้งสองคน ได้สร้างความหวังให้กับคนดูว่า ในความมืดหม่นยังมีแสงสว่างให้เห็นบ้าง

แนวคิดขงจื๊อยังคงถูกถ่ายทอดส่งต่อในยุคสมัยใหม่

นอกจากภาพยนตร์เรื่อง Train to Busan แล้ว ภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่เชิดชูแนวคิดขงจื๊ออย่างชัดเจนคือ Along With the God : The Two World ซึ่งเป็นเรื่องราวของจาฮองนักผจญเพลิงที่เสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ดวงวิญญาณของเขาได้ถูกยมฑูตสามตน พาไปยังขุมนรกเพื่อรับการไต่สวนทั้งหมด 7 ด่านภายในเวลา 49 วัน  หากเขาสามารถผ่านด่านการไต่สวนทั้งหมดได้ เขาก็จะได้รับโอกาสไปเกิดใหม่ และยมฑูตทั้งสามก็จะมีโอกาสได้ไปเกิดใหม่ด้วย โดยแต่ละด่านที่ จาฮองถูกไต่สวนนั้น ล้วนแต่เกี่ยวพันกับสิ่งที่เขาได้กระทำระหว่างมีชีวิต ไล่ตั้งแต่  การมีส่วนในการตายของหัวหน้างานอย่างไม่ตั้งใจระหว่างปฏิบัติหน้าที่  การเห็นแก่เงินโดยไม่สนใจอย่างอื่น  รวมไปถึงปมในอดีตที่เขาเคยเกือบฆ่าแม่ที่ป่วยของเขามาแล้ว 

สิ่งที่สะท้อนถึงการเชิดชูแนวคิดขงจื๊อในหนังเรื่องนี้ คือ เงื่อนไขของการผ่านด่านนรกแต่ละขุมที่จาฮองจะต้องเคลียร์ตัวเองให้ได้ผ่านคำให้การที่อธิบายถึง บทบาทและหน้าที่ของเขาทั้งในฐานะ ลูกน้อง หัวหน้า พี่ชาย และลูกชาย  โดยในฐานะลูกน้อง แม้ว่าเขาจะมีส่วนทำให้หัวหน้างานของเขาตายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ แต่เขาก็ได้ช่วยชีวิตเพื่อนร่วมงานอีก 8 คนจากเหตุการณ์เดียวกัน   ส่วนในฐานะพี่ชาย และลูกชาย แม้ว่าเขาจะเห็นแก่เงินโดยไม่คิดแต่อย่างอื่น แต่เงินที่หาได้เขาก็ส่งให้แม่ที่ป่วยและน้องชายของเขาจนหมด 

สำหรับปมที่เกือบจะทำให้เขาไม่ผ่านการตัดสินในขุมนรกด่านสุดท้าย  คือเหตุการณ์ที่เขาเกือบฆ่าแม่ที่ป่วยจนทำให้ต้องหนีออกจากบ้านมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวถึง 15 ปี  ปมดังกล่าวได้รับการคลี่คลาย เมื่อเขาได้รับการให้อภัยจากแม่ สะท้อนถึงบทบาทของแม่ที่ให้ความกรุณาต่อลูกอย่างไม่มีเงื่อนไขตามแนวทางขงจื๊อ

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ Along With God : The Two Worlds คือ แม้ว่าฉากหลังของหนังคือ นรกภูมิตามตามความเชื่อของศาสนาพุทธนิกายมหายาน แต่เงื่อนไขที่ตัวละครต้องแก้ไขปมปัญหากลับแสดงถึงแนวคิดแบบขงจื๊อ สะท้อนให้เห็นว่าแนวคิดแบบขงจื๊อได้พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นค่านิยมของคนเกาหลีไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม 

Parasite กับการวิพากษ์แนวคิดขงจื๊อ

ภาพยนตร์ประเภทนี้ส่วนใหญ่มักเป็นภาพยนตร์สะท้อนสังคมที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาของปัจเจกบุคคลที่เกิดจากโครงสร้างทางสังคมที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดขงจื๊อเช่นปัญหาเรื่องความเลื่อมล้ำปัญหาช่องว่างระหว่างคนสองรุ่นและปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศ  ตัวอย่างของภาพยนตร์ประเภทนี้ได้แก่ Parasite ของผู้กำกับบองจุนโฮ ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีนี้ 

บอง จุน โฮ ผู้กำกับ Parasite หนังที่ซ่อนความคิดวิพากษ์สังคมเอาไว้หลายจุด

Parasite เป็นเรื่องราวของครอบครัวชนชั้นล่างครอบครัวหนึ่งซึ่งชีวิตต้องเปลี่ยนไปหลังจากที่ลูกชายได้รับว่าจ้างไปสอนวิชาภาษาอังกฤษให้กับลูกสาวของครอบครัวชนชั้นสูงของสังคมหลังจากนั้นลูกชายก็แพ้วทางให้สมาชิกคนอื่นๆ ของครอบครัวได้ย้ายเข้ามาทำงานที่บ้านของครอบครัวชนชั้นสูงจนในที่สุดก็มีโอกาสได้ครอบครองบ้านของชนชั้นสูงในช่วงเวลาสั้นๆ  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่รู้ว่าในบ้านหลังนั้นมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ เป็นความลับที่นำมาซึ่งความรุนแรงและโศกนาฏกรรมในตอนท้าย

แม้ว่าโดยแก่นของเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้มุ่งนำเสนอปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนเป็นหลักแต่หนังก็วิพากษ์แนวคิดขงจื๊ออย่างชัดเจน  โดยเฉพาะ บทบาทของพ่อที่ควรเป็นผู้นำครอบครัว และสามารถแก้ปัญหาทุกอย่าง แต่พ่อในภาพยนตร์เรื่อง Parasite ไม่ว่าจะเป็นพ่อจากครอบครัวชนชั้นล่าง หรือพ่อจากครอบครัวชนชั้นสูง ต่างไม่สามารถเป็นที่พึ่งพิงได้ โดยบทสนทนาที่อธิบายบทบาทของตัวละคร “พ่อ” ได้ดีที่สุดเกิดขึ้นตอนที่คีวู ลูกชายถามผู้เป็นพ่อถึงแผนการแก้ปัญหาหลังจากสถานการณ์ที่บ้านเศรษฐีเริ่มบานปลาย  พ่อตอบลูกชายว่า คีวู ลูกรู้ไหมว่าแผนแบบไหนที่ไม่เคยผิดพลาด   ก็ไม่มีแผนไงล่ะ เพราะอะไรรู้ไหม  เพราะถ้าเราวางแผน ชีวิตก็ไม่มีทางเป็นไปตามแผนหรอก 

คำพูดดังกล่าวเสียดสีแก่นหลักของความเป็นพ่อในแนวทางขงจื๊ออย่างเจ็บแสบ เพราะการที่พ่อไม่มีคำตอบให้ สะท้อนให้เห็นว่าสังคมเกาหลียึดมั่นในโครงสร้างตามลำดับชั้น (Hierarchy) มากเกินไป และเมื่อผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของโครงสร้างของสังคม (ในหนังหมายถึงครอบครัว) ไม่สามารถแก้ปัญหาที่กองอยู่ตรงหน้าได้   ก็เท่ากับว่าคนที่อยู่ลำดับชั้นถัดไปก็เตรียมตัวพบกับหายนะได้ 

นอกจากวิพากษ์สังคมตามลำดับชั้นแล้ว  Parasite ยังเย้ยหยันอีกด้วยว่า แนวคิดแบบขงจื๊อไม่มีวันสูญสลายไปได้  เพราะมันยังคงถูกส่งผ่านจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งอย่างต่อเนื่อง โดยบองจุนโฮผู้กำกับได้ใช้ ก้อนหินแห่งภูมิปัญญา (Stone of Wisdom) ซึ่งซังวูตัวเอกได้รับมอบจากเพื่อนก่อนที่จะบินไปเรียนต่อเมืองนอก เป็นสัญลักษณ์เพื่อเสียดสี (แนวคิดขงจื๊อเชื่อในการแสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง ) และการที่ซังวูปกป้องหินก้อนนี้จากการจมอยู่ใต้น้ำที่ท่วมบ้าน แถมพามันไปทุกที่ เปรียบได้กับคนรุ่นใหม่ที่มีภาระต้องสานต่อค่านิยมแบบขงจื๊อต่อไป โดยที่ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร

A World of Married Couple เรทติ้งกระฉูดสะท้อนแนวคิดคนเกาหลี

A World of Married Couple แม้จะดัดแปลงมาจากซีรี่ส์ตะวันตก แต่ก็นำมาปรับเข้าบริบทโลกตะวันออกได้ดี

นอกจากภาพยนตร์เรื่อง Parasite แล้ว  ซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่กำลังโด่งดังในขณะนี้เรื่อง A World of Married Couple ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่วิพากษ์แนวคิดขงจื๊อได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะประเด็นสถานภาพทางเพศของหญิงชาย A World of Married Couple เป็นเรื่องราวของจีซุนวู แพทย์หญิงที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานและครอบครัว แต่แล้วโลกที่สวยงามของเธอก็พังทลาย เมื่อพบว่า อีแทโอ สามีผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์คบชู้กับหญิงสาวผู้เป็นลูกสาวของคนไข้ที่เธอดูแล  เท่านั้นยังไม่พอ ซุนวูยังไพบว่าคนรอบข้างที่เธอไว้ใจล้วนแต่รู้เห็นเป็นใจกับความสัมพันธ์ของสามีเธอ  ซุนวูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินหน้าแก้แค้นคนที่ทำให้เธอเจ็บ

ตัวละครจีซุนวูเป็นตัวแทนของผู้หญิงเกาหลีในอุดมคติตามแนวคิดขงจื๊อกล่าวคือเธอเป็นภรรยาที่ดูแลปรนนิบัตสามีเป็นอย่างดี เป็นแม่ที่รักลูกแม้ว่าหน้าที่การงานจะทำให้เธอมีภาระเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่แล้วเมื่อเธอเจอบททดสอบที่สำคัญแห่งชีวิตแทนที่จะเลือกอยู่นิ่งเฉยแล้วยอมรับชะตากรรมตามสภาพที่ถูกกำหนด เธอกลับเลือกที่จะไม่ทนและลุกขึ้นทวงสิทธิ์โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม

สิ่งที่น่าสนใจพอๆกับซีรีส์ชุดนี้คือบริบททางสังคมของประเทศเกาหลีใต้ในช่วงเวลาที่ซีรีส์ชุดนี้ถูกสร้างและออกอากาศซีรีส์ชุดนี้ถูกสร้างระหว่างปี 2018-2019 และออกอากาศในต้นเดือนมกราคมปี 2020 จากการสำรวจเชิงสถิติพบว่าตลอดช่วง 12 ปีระหว่างปี 2008-2019  อัตราการหย่าร้างในประเทศเกาหลีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยคิดเป็นอัตราเฉลี่ย 2.1 คู่ต่อคู่แต่งงานหนึ่งพันคู่ โดยมีเหตุผลสำคัญมาจาก ความรุนแรงในครอบครัว สถานะทางการเงิน  ความไม่ซื่อสัตย์ระหว่างกัน และชีวิตคู่ที่ไร้สุข  

ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ซีรี่ส์ A World of Married Couple ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายด้วยการทำเรทติ้งสูงสุดหลังจากฉายตอนสุดท้ายถึง 28.3 % ขณะที่เรทติ้งโดยเฉลี่ยของซีรีส์ชุดนี้อยู่ที่ 18.8%  แน่นอนว่ากลุ่มผู้ชมส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้หญิง จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า แม้ว่าซีรี่ส์เรื่อง A World of Married Couple จะถูกดัดแปลงมาจากซีรีส์ตะวันตก (ต้นฉบับเดิมมีชื่อว่า Doctor Foster) แต่การปรับเนื้อหาให้เข้ากับบริบทเกาหลีอย่างลงตัว ทำให้ผู้ชมอดตระหนักถึงภาวะที่เป็นอยู่ในสังคมไม่ได้ และนั่นได้ทำให้ซีรีส์ชุดนี้เป็นที่นิยมตั้งแต่แรกออกอากาศ 

สื่อบันเทิงกับบทบาทการเปลี่ยนแปลงสังคม

กล่าวกันว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยากประการหนึ่งของสังคมคือค่านิยมที่ฝังรากลึก และถูกส่งต่อผ่านรุ่นสู่รุ่นตัวแปรที่จะส่งผลให้ค่านิยมนั้นจะยังคงอยู่ต่อไปหรือเสื่อมสลายคือแรงผลักดันของคนในสังคมถ้าพวกเขารู้สึกว่าค่านิยมนั้นยังมีคุณค่าอยู่พวกเขาก็จะยังคงส่งเสริมให้อยู่คู่สังคมต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเมื่อใดที่พบว่าค่านิยมนั้นไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกแล้วพวกเขาก็คงต้องหาทางปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงต่อไป 

และหนึ่งในเครื่องมือชี้วัดความรู้สึกของคนที่มีต่อค่านิยมในสังคมได้ดีอันหนึ่ง ก็คือ สื่อบันเทิงอย่างภาพยนตร์และซีรีส์นั่นเอง

บทความโดย ภาณุ อารี ผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศ สหมงคลฟิล์ม

แท็กที่เกี่ยวข้อง
Writerภาณุ
ภาณุ อารีจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และภาพนิ่งในปี 2538 จากนั้นได้ทำงานเป็นช่างบันทึกเสียงให้กับภาพยนตร์ไทย 2 เรื่องได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง คู่กรรม ภาค 2 และ เพื่อเพื่อน เพื่อฝัน เพื่อวันเกียรติยศ ก่อนที่จะทำงานเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิหนังไทย ทำหน้าที่ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวภาพยนตร์ไทยในอดีต

ขณะเดียวกัน ภาณุ ได้ผลิตภาพยนตร์สารคดีขนาดสั้นและยาวหลายเรื่อง โดยในจำนวนนี้รวมถึงภาพยนตร์สารคดีสั้นเรื่อง “กาลครั้งหนึ่ง” (2543) ได้รับเลือกเข้าฉายที่เทศกาลภาพยนตร์ฮ่องกง ปี 2000 ภาพยนตร์เรื่อง “น้ำใต้ท้องเรือ” (2544) ซึ่งได้รับเลือกให้เป็น 100 หนังไทยที่คนไทยควรดู โดยหอภาพยนตร์แห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2543 ภาพยนตร์สารคดีขนาดยาว เรื่อง มูอัลลัฟ (2551) และ เบบี้ อาราเบีย (2553) ซึ่งทั้งสองเรื่อง

ภาณุได้ร่วมกำกับกับ ก้อง ฤทธิ์ดี และกวีนิพนธ์ เกตุประสิทธิ และได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ แวนคูเวอร์ เทศกาลภาพยนตร์สารคดียามากาตะ เทศกาลภาพยนตร์ฮาวาย เทศกาลภาพยนตร์ปูซาน เป็นต้น

ปัจจุบันภาณุ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศ บริษัทสหมงคลฟิล์ม และเป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชา ธุรกิจภาพยนตร์ และ การผลิตภาพยนตร์สารคดี ที่ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต , มหาวิทยาลัยบูรพา ,มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ,และมหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นนักเขียนประจำอยู่ที่ Film Club

ในปี พ.ศ. 2560 ภาณุ ได้รับรางวัล ปีติสันติธรรม จากสถานบันปรีดี พนมยงค์

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง