เอมัล คลูนีย์ ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวในงานสัมมนาสื่อวงปิดว่าเธอสนใจสถานการณ์คดีผู้ชุมนุมในประเทศไทย และเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ รวมถึงกฎหมายหมิ่นสถาบัน กฎหมายกล่าวหาผู้ยุยงปลุกปั่น และกฎหมายหมิ่นประมาทอาญา
วันที่ 22 พ.ย. 2564 สำนักข่าว Vice รายงานว่าเอมัล คลูนีย์ ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนชื่อดังร่วมด้วยทีมกฎหมายของเธอ กล่าวถึงประเด็นสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างงานสัมมนาสื่อวงปิดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา
ตอนหนึ่งในงานดังกล่าว เอมัลกล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่ต้องปฏิรูปกฎหมายจากยุคอาณานิคมซึ่งเป็นหัวใจของหลายคดี รวมถึงกฎหมายห้ามหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ยุยงปลุกปั่น รวมถึงกฎหมายหมิ่นประมาทอาญา … ปัญหาเหล่านี้ส่งผลต่อหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน” และยังแสดงความสนใจสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เกิดขึนในไทยเป็นพิเศษ กรณีคดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ชุมนุม ทนายความและบุคคลอื่น ๆ
ที่ผ่านมาเอมัล คลูนีย์ ทำงานประเด็นสิทธิมนุษยชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างใกล้ชิด โดยเป็นทนายความให้ มาเรีย เรซซา ผู้สื่อข่าวชาวฟิลิปปินส์เจ้าของรางวัลโนเบลปีล่าสุดที่ถูกตั้งข้อหาในประเทศของตนจากการเปิดโปงการคอร์รัปชันในกลุ่มชนชั้นนำ และเธอยังเป็นทนายความให้แก่ วา โลนและจ่อ ซอ ออ สองนักข่าวเมียนมาที่ถูกจองจำโดยรัฐบาลเมียนมากรณีรายงานการสังหารหมู่ชาวโรฮิงยาในรัฐยะไข่อย่างละเอียด โดยพวกเขาถูกขังด้วยข้อหาเปิดเผยความลับทางราชการซึ่งเป็นกฎหมายตกค้างมาจากยุคอาณานิคม
เธอระบุว่า “มาเรียเองเป็นนักข่าวคนหนึ่งเท่านั้นท่ามกลางนักข่าวอีกหลายร้อยคนเลือกที่เลือกที่จะเงียบแทนที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่มาเรียเจอ ” อย่างไรก็ดีเธอเพิ่มเติมว่าแต่การที่หลายร้อยคนเลือกจะเงียบนั้นเป็นเรื่องที่เข้าได้โดยสิ้นเชิงท่ามกลางสถานการณ์เสรีภาพสื่อที่ลดลงเป็นอย่างยิ่งตลอดจนการที่สื่อต้องพบกับภัยคุกคามต่าง ๆ มากขึ้น โดยที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวฟิลิปปินส์ถูกฆาตรกรรมโดยปราศจากผู้ต้องรับผิดกว่า 21 รายตั้งแต่รัฐบาลของโรดริโก้ ดูเตอร์เต้ขึ้นสู่อำนาจ
ขณะที่คลีเลน กัลลาเกอร์ ทีมกฎหมายของเอมัล คลูนีย์ให้สัมภาษณ์ Vice ว่าภัยคุกคามที่เกิดขึ้นต่อนักข่าวไม่ได้มีเพียงกรณีของมาเรียในฟิลิปปินส์ แต่ยังมีกรณีประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ซึ่งรัฐบาลควรดำเนินการเพื่อให้นักข่าวทำงานได้อย่างปลอดภัย










