เคยสงสัยไหมว่า ทำไมต้องซื้อรังนกแท้ไปให้คนที่เรารัก ?
คำตอบคือสาร “NANA” (นานะ หรือ N-Acetylneuraminic Acid) ที่มีอยู่มากในรังนกแท้นั่นเอง NANA (นานะ) มีส่วนสำคัญที่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างมาก เพราะมีส่วนช่วยเรื่องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และตัวรังนกเองก็มีคุณประโยชน์มากมายอันเป็นที่ยอมรับมานานหลายร้อยปี
———————————–
[ ประโยชน์ของ “รังนก” และ “NANA” (นานะ) ]
เมื่อภูมิคุ้มกันตก ต้อง “NANA” (นานะ) ในรังนกแท้
มีนักวิจัยได้แยกส่วนประกอบของรังนกออกมา มีการทำวิจัยกันอย่างแพร่หลาย ผลปรากฏว่าในรังนกมีโปรตีนเป็นหลักประมาณ 40-60 %, มีคาร์โบไฮเดรต, มีกรดอะมิโนที่จำเป็นหลายชนิด และแร่ธาตุมากมาย เช่น แคลเซียม โซเดียม แม็กนีเซียม และธาตุเหล็ก *ดังนั้นดูจากสารอาหารที่มีในรังนก นับว่าไม่ธรรมดา
หนึ่งในสารที่อยู่ในรังนก มีชื่อว่ากรดไซอะลิค หรือมีอีกชื่อทางการคือ N-Acetyl-Neuraminic Acid ชื่อย่อว่า NANA (นานะ)
ในปี ค.ศ. 2006 มีงานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นค้นพบอีกหนึ่งคุณสมบัติเพิ่มเติมของรังนกคือ “ป้องกันการติดเชื้อไวรัสบางชนิด” และมีส่วนช่วยการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

NANA (นานะ) เป็นกรดที่หาได้ยากมากในเนื้อสัตว์ทั่วไป อย่างในเนื้อไก่มี NANA (นานะ) เพียง 0.02 % ส่วนเนื้อปลาแซลม่อนมี NANA (นานะ) 0.01 % ขณะที่รังนกแท้ มี NANA (นานะ) อยู่ถึง 9 % เรียกได้ว่าเยอะกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไปหลายเท่า ดังนั้น การกินรังนกจึงเป็นวิธีที่ตอบโจทย์มาก สำหรับคนที่ต้องการกรดไอซะลิก หรือ NANA (นานะ) เข้าสู่ร่างกาย
ดังนั้น ถ้าดูจากการวิจัยแล้วก็คงพอเข้าใจเหตุผลที่คนโบราณถึงให้ความสำคัญ และสร้างมูลค่าของรังนกเอาไว้แพงกว่าวัตถุดิบอื่นๆ โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า คนชาติยุโรปจะยกย่องรังนกว่าเป็น “คาเวียร์แห่งโลกตะวันออก”
———————————–
[ รังนก คุณประโยชน์คลาสสิกจากอดีตถึงปัจจุบัน ]
ในตำรับแพทย์จีนระบุสรรพคุณรังนกไว้ว่า สามารถช่วยบำรุงพลัง และระบายความร้อน ช่วยให้ปอดมีความชุ่มชื้น ขับเสมหะ และบรรเทาอาการไอ

สารอาหารในรังนกยังมี NANA (นานะ) ที่จะช่วยต้านการติดเชื้อไวรัสต่างๆ เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ดังนั้น พอจะพูดได้ว่า รังนกมีส่วนช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย หรือพูดง่ายๆ คือเป็นวัตถุดิบที่ทำให้มนุษย์มีโอกาสทำให้ป่วยได้น้อยลงกว่าเดิม
มีรายงานวิจัยพบว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น อีพิเดอร์มอล โกรท แฟคเตอร์ (Epidermal Growth factor (EGF) ในร่างกายจะผลิตได้น้อยลง ดังนั้นการได้รับ EGF อาจมีประโยชน์ในการช่วยเสริมสร้าง ซ่อมแซม และช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งในรังนกมี EGF ซึ่งเป็นเปปไทด์ที่มีโครงสร้างเหมือนกับ EGF ที่อยู่ในคน มีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ชั้นนอกสุด และเยื่อบุต่างๆ**
และเพราะมีคุณประโยชน์มากมาย ประเทศไทยจึงมีการควบคุมปริมาณการเก็บรังนก โดยใช้ระบบสัมปทานรังนกมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ปัจจุบันมีกฎหมายกำหนดให้ผู้รับสัมปทานต้องเก็บรังนกเฉพาะช่วงที่เหมาะสมเท่านั้น และปล่อยให้นกได้วางไข่เพื่อเพิ่มประชากรของนกในปีถัดไป ซึ่งผู้รับสัมปทานจะมีการดูแลรักษาระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมของเกาะที่นกอาศัยอยู่อย่างเข้มงวด เพื่อให้มีวงจรการแพร่พันธุ์ของนกแอ่นกินรังให้เป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุด
นอกจากนี้ ตามธรรมชาติของนกแอ่นกินรัง เมื่อลูกนกเติบโตเต็มที่แล้วจะไม่ใช้รังเดิมอีก แต่จะสร้างรังใหม่ขึ้นแทน ดังนั้น การเก็บรังนกนางแอ่นจึงเป็นการช่วยเปิดพื้นที่ให้นกทำรังใหม่ได้สะดวกขึ้น
สำหรับ “รังนกแท้” ที่พบส่วนใหญ่ตามธรรมชาติ มักจะเป็น “รังนกขาว” ซึ่งรังนกคุณภาพดีจะมีเส้นยาว ขาว สะอาด และมีขนาดใหญ่ จึงถือเป็นรังนกที่มีความบริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งปลอมปน
ที่ประเทศสิงคโปร์ ศาสตราจารย์ ลี และคณะ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง ได้ทำการศึกษาวิจัยโครงสร้างทางเคมีต่อการเปลี่ยนแปลงของสีของรังนก พบว่า รังนกสีขาวตามธรรมชาติจะสามารถเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีอื่นๆ ได้นั้น เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีของรังนกกับอากาศในถ้ำรังนก หรือในบ้านรังนกที่มีความชื้นและมีก๊าซไนโตรเจนสูง โดยไกลโคโปรตีนในรังนกจะทำปฏิกริยากับสารกลุ่มไนเตรตทำให้เกิดสีขึ้น ทำให้รังนกไม่บริสุทธิ์ และอาจมีผลเสียต่อสุขภาพได้
ปัจจุบันรังนกแท้มีราคาแพงมาก ทำให้มีการผลิตรังนกปลอมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมากจนไม่สามารถแยกได้ด้วยการมองด้วยตาเปล่า รังนกปลอมส่วนใหญ่จะผลิตจากยางไม้ชนิดหนึ่ง คือ ยางคารายา ซึ่งมีลักษณะสีขาว หรือ สีเหลืองอมชมพูจนถึงสีนํ้าตาลเข้ม ไม่ละลายนํ้า แต่สามารถดูดนํ้า ทำให้พองตัวคล้ายวุ้น ขุ่นเล็กน้อย เมื่อนำมาต้มจะคล้ายรังนก แต่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
เพื่อให้สามารถแยกความแตกต่างระหว่างรังนกแท้ และรังนกปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีการนำเทคนิคอินฟราเรดสเปคโตรสโคปี (Infrared spectroscopy: FTIR) ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับเครื่องตรวจเพชรมาใช้ในกระบวนการตรวจสอบ โดยรังนกแท้จะมีรูปแบบของอินฟราเรดสเปคตรัม (Infrared spectrum) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรังนกแท้ จึงสามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นรังนกแท้หรือรังนกปลอม
ดังนั้น ในการเลือกซื้อรังนกจึงควรพิจารณาจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือในกระบวนการตรวจสอบวัตถุดิบรังนกที่ใช้ในการผลิต และได้รับการรับรองมาอย่างยาวนาน
———————————–
[ รังนกแท้ วัตถุดิบแห่งตำนาน ]
ประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ บันทึกว่าคนแรกที่เอารังนกมาประกอบอาหาร ได้แก่นายพลเฉิง โฮ จากกองทัพเรือจีน ในยุคราชวงศ์หมิง ราวยุคศตวรรษที่ 15
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้นายพลเฉิงก็คือ เมื่อกินรังนกไปแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองมีพลกำลังมากขึ้น และพลังร่างกายฟื้นฟูขึ้นจากเดิม

หลังจากกินรังนกมาสักระยะ นายพลเฉิงจึงได้เข้าใจว่า รังนกแท้จริงแล้วคืออาหารชั้นเลิศที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย
นายพลเฉิงจึงเก็บรังนกนางแอ่นกลับไปให้องค์จักรพรรดิของจีน และนับจากวันนั้นเอง ที่ในวัฒนธรรมจีนได้ยกย่องให้รังนกเป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่าทางโภชนาการในระดับสูง
ในตำรับยาของแพทย์จีน ระบุคุณสมบัติของรังนกว่า มีสรรพคุณบำรุงกำลัง ช่วยให้ฟื้นฟูจากอาการเจ็บป่วย ทำให้ปอดชุ่มชื้น ขับเสมหะ และบรรเทาอาการไอได้ดี นอกจากนั้นมีผลพลอยได้คือช่วยให้ผิวพรรณดี และชะลอความแก่ชรา
มีการทดลองนับครั้งไม่ถ้วนที่พิสูจน์ได้จริงว่า คุณค่าทางโภชนาการ และคุณประโยชน์ต่อร่างกายมหาศาลของรังนกเป็นเรื่องจริง
เป็นคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมต้องซื้อรังนกแท้ไปให้คนที่เรารัก ?
อ้างอิง:











