11 มี.ค. 66 สำนักข่าวท้องถิ่นวาตานีรายงานว่า ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าววาตานีจำนวน 2 คน ถูกออกหมายเรียกจาก สภ.ธารโต จ.ยะลา กล่าวหาว่าผู้สื่อข่าวร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ และร่วมกันขัดขวางเจ้าหนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ โดยให้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา 8.30 น. ของวันนี้ (15 มี.ค. 66)
หมายเรียกนี้สืบเนื่องจากการรายงานเหตุวิสามัญฆาตกรรม อิบรอเฮม สาและ สมาชิกคณะปฏิวัติประชาชนปาตานีในพื้นที่บ้านมายอ ม.6 ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา และมีเหตุชุลมุนขึ้นระหว่างญาติของผู้เสียชีวิตกับเจ้าหน้าที่ขณะเคลื่อนย้ายร่างของผู้เสียชีวิตไปยัง สภ.ธารโต
สำนักข่าววาตานี ระบุว่า เมื่อญาติของผู้เสียชีวิตทราบข่าวจึงเดินทางมายังที่เกิดเหตุเพื่อขอรับร่างผู้เสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่เจ้าหน้าที่ได้เรียกรถกู้ภัยมาเคลื่อนย้ายศพไปยังโรงพัก สภ.ธารโต ญาติของผู้เสียชีวิตจึงเจรจากับเจ้าหน้าที่ขอขึ้นรถกู้ภัยตามไปด้วย แต่ขณะที่ญาติผู้เสียชีวิตกำลังจะขึ้นรถกู้ภัยทางเจ้าหน้าที่ได้ขับรถออกไปก่อน ทำให้ญาติของผู้เสียชีวิตรายหนึ่งต้องเกาะอยู่ด้านท้ายรถ ญาติของผู้เสียชีวิตคนที่เหลือจึงขับรถประกบรถกู้ภัยและบอกให้คนขับหยุดรถ แต่คนขับไม่ได้หยุดรถแต่อย่างใด ญาติของผู้เสียชีวิตจึงนำรถมาปิดล้อมเส้นทางเดินรถกู้ภัยเอาไว้เพื่อไม่ให้รถขับต่อไปได้
ด้านสำนักข่าววาตานีทราบเรื่องจึงส่งทีมผู้สื่อข่าว 2 คน ติดตามชาวบ้านในพื้นที่เข้าไปรายงานสถานการณ์ยังที่เกิดเหตุ โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊กของสำนักข่าวในเวลา 10.04 น. หลังเหตุวิสามัญฆาตกรรม
ต่อมาในวันที่ 11 มี.ค. 66 ประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากเหตุการณ์วิสามัญฆาตกรรมสมาชิกคณะปฏิวัติประชาชนปาตานี ผู้สื่อข่าววาตานีที่เดินทางไปยังพื้นที่เกิดเหตุเพื่อรายงานสถานการณ์ถูกออกหมายเรียกจาก สภ.ธารโต จ.ยะลา จำนวน 2 คน เหตุร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่หรือให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ และร่วมกันขัดขวางเจ้าหนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่ โดยให้เดินทางรับทราบข้อกล่าวหาในวันนี้ (15 มี.ค. 66) เวลา 8.30 น. ที่ สภ.ธารโต จ.ยะลา
ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งที่ถูกออกหมายเรียกให้สัมภาษณ์ว่า ในฐานะผู้สื่อข่าว เมื่อทราบข่าวการวิสามัญฆาตกรรมจึงมีหน้าที่ติดตามชาวบ้านไปยังที่เกิดเหตุเพื่อรายงานความคืบหน้าของสถานการณ์ตามปกติ โดยขณะเดินทางเข้าไปยังที่เกิดเหตุตนได้แสดงบัตรยืนยันการเป็นผู้สื่อข่าวกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กลับได้รับหมายเรียกจาก สภ.ธารโต ว่าขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่
ผู้สื่อข่าว ระบุเพิ่มเติมว่า การออกหมายเรียกผู้สื่อข่าววาตานีครั้งนี้เป็นการลิดรอนสิทธิของสื่อในการรายงานข่าว ซึ่งข้อกล่าวหาที่ระบุไว้ในหมายเรียกมีความไม่สอดคล้องกับตนในฐานะของผู้สื่อข่าวที่ต้องรายงานสถานการณ์ตามหน้าที่ และไม่ได้ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ทั้งนี้ตนมีข้อกังวลว่าหากมีเหตุการณ์อื่น ๆ เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ในอนาคต สำนักข่าวอื่น ๆ อาจไม่กล้าเดินทางเข้ามาในพื้นที่เนื่องจากกังวลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
ธีรนัย จารุวัสตร์ อุปนายกฝ่านสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อของสมาคมได้รับทราบการออกหมายเรียกผู้สื่อข่าวตามที่สื่อมวลชนรายงานแล้ว และจะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ข้อกล่าวหาของผู้สื่อข่าวที่ระบุว่า มีพฤติกรรมยุยงปลุกปั่น และข่มขืนใจเจ้าพนักงาน ถือเป็นข้อกล่าวหาที่ค่อนข้างร้ายแรง ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องดำเนินการอย่างรัดกุม โดยแสดงพยานหลักฐานที่บ่งบอกลักษณะความผิดอย่างชัดเจน และเคารพสิทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาในการชี้แจง และต่อสู้คดีตามที่พึงจะได้รับ มิฉะนั้น ประชาชนอาจจะเกิดข้อครหาหรือตั้งข้อสงสัยต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาจจะกลายเป็นการสร้างความหวาดวิตกต่อสื่อมวลชนอื่นๆที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภายใต้ด้วย
สำหรับสาเหตุของการออกหมายเรียกผู้สื่อข่าว อับดุลกอฮาร์ อาแวปูเตะ ทนายความมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม ระบุว่า อาจเกิดจากประเด็นความมั่นคงระหว่างรัฐกับกลุ่มเครือข่าย และเจ้าหน้าที่ไม่ต้องการให้ข้อมูลของเหตุการณ์ถูกกระจายออกไปเพื่อการปฏิบัติงานที่ราบรื่นของเจ้าหน้าที่ สวนกระบวนการต่อสู้ทางกฎหมายในเบื้องต้นให้ผู้สื่อข่าวผู้ที่ได้รับหมายเรียกปฏิเสธข้อกล่าวหา และยืนยันสิทธิของสื่อมวลชนในการรายงานข้อมูลต่อสาธารณะตามหน้าที่
อย่างไรก็ตามตนมองว่า ควรมีข้อมาตรการพิเศษในการคุ้มครองสื่อมวลชน เนื่องจากมีหน้าที่ในการรายงานข้อมูลต่อสาธารณะ และสังคม ทั้งการรายงานข่าวที่ตรงไปตรงมายังจะเป็นการปกป้องเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใส ประชาชนจึงจะคลายข้อครหา แต่ในปัจจุบันเจ้าหน้าที่พยายามใช้สื่อตนเองเป็นหลักในการประชาสัมพันธ์ข้อมูล ส่งผลให้สื่อมวลชนในท้องถิ่นมีบทบาทน้อย อีกทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบก็ได้รับข้อมูลที่ไม่มีความเป็นธรรม ดังนั้นจึงต้องมีสื่อท้องถิ่นเป็นตัวกลางคอยชี้แจงข้อเท็จจริงให้กับประชาชนทราบ










