6 หน่วยงานร่วมแก้เหลื่อมล้ำ ช่วยเหลือโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลที่ขาดแคลนครู โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เปิดรับสถาบันอุดมศึกษาร่วมโครงการ ครูรักถิ่น แก้ปัญหาครูโยกย้ายบ่อยเพราะไม่ใช่ครูท้องถิ่น คาด ภายใน 10 ปี ผลิตครูโรงเรียนขนาดเล็กเพียงพอต่อความต้องการ

วันที่ 28 มิ.ย. 62 ได้มีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ระหว่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการ “ครูรัก(ษ์)ถิ่น” เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจ การพัฒนาข้อเสนอโครงการให้กับสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นหน่วยผลิตครู โดยมีผู้บริหาร และอาจารย์คณะศึกษาศาสตร์และคณะครุศาสตร์ เข้าร่วมกว่า 36 แห่งจากทั่วประเทศ

รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ
รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างกสศ.และ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, กระทรวงศึกษาธิการ, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา, สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา เพื่อสนับสนุนทุนสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับนักเรียนยากจนด้อยโอกาสจากครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำที่สุด ในพื้นที่ห่างไกลที่อยากเป็นครูได้เรียนครูจนจบปริญญาตรีและกลับมาเป็นครูในโรงเรียนท้องถิ่นของตน ทั้งนี้เมื่อศึกษาจนจบตามหลักสูตร จะได้รับการบรรจุเป็นครูในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลทั้งหมด

นพ.สุภกร บัวสาย
นพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า โครงการนี้จะสนับสนุนทุนให้แก่นักศึกษา รุ่นละ 300 ทุน ทั้งหมด 5 รุ่น รวม 1,500 ทุน เฉลี่ยทุนละ 160,000 บาท ต่อทุนต่อปี ประกอบด้วยค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าที่พัก ค่าครองชีพรายวัน ค่าตำราและอุปกรณ์การเรียนที่จำเป็น ตั้งแต่ปีการศึกษา 2563 เป็นต้นไป โดยจะดำเนินงานผ่านสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี ในสาขาปฐมวัยและประถมศึกษา ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะมีการคัดเลือกสถาบันเข้าร่วมโครงการราว 10 สถาบัน ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ คาดว่าภายในระยะเวลา 10 ปี จะมีครูเพียงพอต่อความต้องการได้ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา
นพ.สุภกร กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ของคณะวิจัยธนาคารโลก ร่วมกับการสอบทานฐานข้อมูล สพฐ. พบว่าประเทศไทยมีโรงเรียนราว 2,000 แห่ง ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและไม่อาจจะควบรวมเช่น โรงเรียนบนพื้นที่สูง ตามแนวชายขอบ หรือตั้งอยู่บนเกาะแก่ง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลให้ดำรงอยู่ต่อไปได้ เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนในท้องถิ่น
อย่างไรก็ตามพบว่า ปัญหาของโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลคือ ครูขอย้ายบ่อยเพราะไม่ใช่คนท้องถิ่น และไม่มีครูมาทดแทน ครูจึงไม่พอกับชั้นเรียน โดยเฉพาะครูที่สอนประถมศึกษา ซึ่งโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่นมีเป้าหมายใน 4 เรื่องสำคัญคือ
1.สนับสนุนนักเรียนในท้องถิ่นที่มีผลการเรียนดีและรักเป็นครูได้เรียนครูจนจบและกลับไปทำงานในท้องถิ่นบ้านเกิดของตนเองได้
2.ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษาที่ร่วมโครงการ ปรับการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสภาพโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกล โดยมีการฝึกสอนร่วมกิจกรรมกับโรงเรียนและชุมชนที่จะต้องไปทำงานจริงตั้งแต่เป็นนักศึกษา
3.มีการเตรียมความพร้อมด้านวิชาการและสังคมแก่นักเรียนกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ก่อนเข้าเรียน
4.ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ มีกิจกรรมพัฒนาศักยภาพและเสริมทักษะสำคัญเพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนรักถิ่นฐานบ้านเกิด ร่วมแก้ไขปัญหา และพัฒนาท้องถิ่น

ดร.ศุภโชค ปิยะสันติ์
ด้านดร.ศุภโชค ปิยะสันติ์ ประธานชมรมคุรุทายาทแห่งประเทศ อนุกรรมการกำกับทิศทางโครงการครูรักษ์ถิ่น กล่าวว่า โครงการนี้ ให้ความสำคัญกับคุณภาพการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาที่จะเป็นกลไกในการผลิตและพัฒนาครูรุ่นใหม่ได้ตามมาตรฐานวิชาชีพ สถาบันสามารถนำเสนอโครงการตามประเด็นหลักที่กำหนดไว้ คือ ความพร้อมและความน่าเชื่อถือของสถาบัน ด้านหลักสูตร ความเชี่ยวชาญของบุคลากรผู้สอนที่ตรงตามสาขา นักวิจัย แหล่งเรียนรู้สำหรับฝึกประสบการณ์ทางวิชาชีพ การทำงานร่วมกับชุมชนในท้องถิ่น การค้นหาและคัดเลือกนักเรียนผู้รับทุน ต้องเป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส มีศักยภาพในด้านผลการเรียนพอสมควรเมื่อเปรียบเทียบกับนักเรียนในโรงเรียนกลุ่มเดียวกัน การเตรียมความพร้อมแก่นักเรียนก่อนเข้าศึกษา พิจารณาจากแผนกิจกรรมในช่วงแรกที่จะทำงาน หลักสูตร การจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาผู้เรียน ทั้งสมรรถนะพื้นฐานของวิชาชีพครู สมรรถนะทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และเจตคติและสมรรถนะเฉพาะ การจัดระบบดูแลนักศึกษา แนวทางการดูแลความเป็นอยู่ สวัสดิภาพและสุขภาพแก่ผู้รับทุน กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ แนวทางหรือวิธีการเพิ่มคุณภาพให้แก่ผู้รับทุน และการจัดทำข้อมูลและการเข้าร่วมพัฒนาทางวิชาการ









