บทวิเคราะห์ 4 ฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้น หากปีนี้ ‘ฮอลลีวูด’ ไม่มีความเคลื่อนไหว

บทวิเคราะห์ 4 ฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้น หากปีนี้ ‘ฮอลลีวูด’ ไม่มีความเคลื่อนไหว 

FEATURES

ความหวังของอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกโดยเฉพาะฮอลลีวูดกลับมาเรืองรองอีกครั้งหลังจากสถานการณ์โควิด 19 เริ่มคลี่คลายในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนาจนจนทำให้รัฐบาลหลายประเทศเริ่มผ่อนปรนมาตรการควบคุมเปิดโอกาสให้ธุรกิจที่มีความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อโดยเฉพาะกิจกรรมที่รวมคนจำนวนมากอย่างโรงภาพยนตร์หรือการผลิตภาพยนตร์กลับมาดำเนินกิจการอีกครั้ง 

แต่แล้วก็เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงเมื่อภาวะระบาดรอบใหม่ได้กลับมาคุกคามหลายประเทศอีกครั้งในอเมริกายอดผู้ติดเชื้อตั้งแต่เดือนกลางเดือนมิถุนายนตกเฉลี่ยมากกว่าวันละสามหมื่นคนไม่นับรวมจำนวนผู้เสียชีวิตที่สะสมต่อเนื่องไม่มีหยุด อุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในกลางเดือนกรกฎาคมโดยมีภาพยนตร์เรื่อง Tenet ของผู้กำกับคริสโตเฟอร์โนแลนซึ่งมีทุนสร้างกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (และต้องทำรายได้ทั่วโลกอย่างต่ำ 800 ล้านเหรียญ) เป็นตัวแทนของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องแรกในปีนี้ที่จะเปิดตัว  ต้องถูกเลื่อนฉายไปเป็นวันที่ 12 สิงหาคม หลังจากโรงภาพยนตร์เครือใหญ่ในอเมริกาอย่างเครือ AMC และ REGAL ต่างเลื่อนกำหนดเปิดไปเป็นปลายเดือนกรกฎาคมแทน

แต่จากสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นจากการระบาดระลอกใหม่ที่ไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลงง่ายๆ  คำถามที่ผู้คนในแวดงวงธุรกิจภาพยนตร์ในอเมริกา โดยเฉพาะในฮอลลีวูดเริ่มตั้งขึ้น ก็คือโรงภาพยนตร์ชั้นนำยังจะมีโอกาสได้เปิดในปลายเดือนกรกฎาคมตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่ และ ภาพยนตร์เรื่องTenet จะยังคงยืนกำหนดฉายเดิม (12 สิงหาคม) หรือเปล่า และถ้า Tenet ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ต้องเลื่อนฉายไปอีก อุตสาหกรรมหนังทั่วโลกจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง

อย่างไรก็ตามในบรรดาคำถามที่เกิดขึ้นคงไม่มีคำถามไหนที่หลายคนอยากจะตั้งและจะคิดหาคำตอบได้เท่ากับคำถามที่ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหากปีนี้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับโลกอย่างฮอลลีวูดจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้นเลยซึ่งรวมถึงการไม่มีหนังอเมริกันได้ฉายเลยทั้งในอเมริกาเองและในหลายประเทศทั่วโลก”

มู่หลาน หลิวอี้เฟย

มู่หลาน หนึ่งในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ทั่วโลกจับตามองอยู่

ผู้เขียนขอถือโอกาสนี้นำเสนอ 4 ฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้นดังนี้

  1. โรงภาพยนตร์ทั่วโลกอาจเกิดภาวะซึมเซาจากการขาดภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรียกคนดู: แม้ว่าปัจจุบัน โรงภาพยนตร์หลายแห่งทั่วโลกจะเริ่มกลับให้บริการอีกครั้ง และผู้ชมก็พร้อมจะกลับไปชมภาพยนตร์ในโรง แต่ผลประกอบการที่ออกมาดูเหมือนจะยังไม่เป็นที่พอใจเท่าใดนัก เหตุผลสำคัญมาจากนโยบาย social distancing ที่บีบให้โรงภาพยนตร์ต้องจำกัดจำนวนที่นั่งตั้งแต่ 40% ถึง 75% ส่งผลให้รายได้ลดลงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้การขาดภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่เร้าให้ผู้ชมออกมาชมภาพยนตร์ในโรง ก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้โรงภาพยนตร์ทั่วโลกต่างเฝ้ารอการทยอยเปิดตัวของภาพยนตร์ฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่ แต่ถ้าหากสถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ฮอลลีวูดยังคงเลื่อนกำหนดฉายอย่างไม่มีกำหนด โรงภาพยนตร์ทั่วโลกก็อาจต้องประสบกับภาวะซึมเซาเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ยกเว้นในช่วงเวลาดังกล่าวมีภาพยนตร์ท้องถิ่น (ขอกล่าวถึงในข้อถัดไป) หรือภาพยนตร์จากประเทศอื่นที่สร้างกระแสฮือฮา ก็อาจพอช่วยให้โรงภาพยนตร์กลับมาคึกคักได้อีกครั้ง แต่ก็เป็นไปได้ยาก เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่จากฮอลลีวูดยังคงมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ชมอยู่
  2. โอกาสเกิดของภาพยนตร์ท้องถิ่น: เป็นที่รู้กันว่า ภาพยนตร์จากฮอลลีวูดมีอิทธิพลต่อตลาดภาพยนตร์ของประเทศต่าง ๆ ตลอดมา ดังนั้นหากมองในมุมกลับ เมื่อตลาดต้องขาดภาพยนตร์ฮอลลีวูดไป อาจเป็นโอกาสให้ภาพยนตร์ท้องถิ่นกลายมาเป็นที่ต้องการของโรงภาพยนตร์แทนก็ได้ ทั้งนี้เพราะโรงภาพยนตร์ต้องการภาพยนตร์ใหม่เข้าฉายอย่างต่อเนื่อง และการที่ไม่มีภาพยนตร์ฮอลลีวูดมาแย่งรอบฉาย อาจทำให้ภาพยนตร์ท้องถิ่นมีพื้นที่รอบฉายมากขึ้นและนานขึ้น (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของหนังและการตอบรับของผู้ชม) ยกตัวอย่างเช่นกรณีของประเทศเกาหลีใต้ ที่ภาพยนตร์แนวซอมบี้ที่เปิดตัวฉายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน แล้วมียอดซื้อตั๋วเข้าชมในวันแรกสูงถึง 204,071 ใบ จนถึงขณะนี้ (10  กรกฎาคม) ภาพยนตร์ทำรายได้ไปแล้ว 5.47 ล้านเหรียญสหรัฐ จัดว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดนับตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์  ซึ่งเป็นเดือนที่โรคโควิด19 เริ่มระบาดในประเทศ  อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ภาพยนตร์ท้องถิ่นได้รับความนิยมจากผู้ชมได้ก็คือคุณภาพของภาพยนตร์ ตราบใดที่ภาพยนตร์ที่สร้างไม่สามารถเรียกศรัทธาจากผู้ชมได้   ผู้ชมก็มีอาจหันไปเสพความบันเทิงในช่องทางอื่น ๆ แทน
  3. ภาวะล้นเกินของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ในปีหน้า:  แน่นอนว่า เมื่อหนังฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์ที่วางกำหนดฉายในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น Tenet  Mulan  หรือ Wonder Woman 1984 หรือ No Time To Die หนังเจมส์ บอนด์ภาคใหม่ มีเหตุให้ต้องเลื่อนไปฉาย ก็เท่ากับว่าหนังเหล่านี้ต้องต้องถูกจัดให้ฉายในปีถัดไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่าปีหน้า ฮอลลีวูดจะอุดมไปด้วยหนังฟอร์มใหญ่ที่เข้าฉายตลอดทั้งปี อาจถึงขั้นในเดือนหนึ่งอาจมีหนังฟอร์มใหญ่เข้าฉายเฉลี่ยเดือนละ 1-2 เรื่อง ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ โอกาสที่ภาพยนตร์ขนาดกลางและเล็กจะมีโอกาสสอดแทรกเข้าไปฉายในโรงแทบจะริบหรี่ สมดุลของการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ก็จะหายไป เพราะต่อไปโรงภาพยนตร์ ก็จะกลายเป็นพื้นที่ของหนังฟอร์มใหญ่เท่านั้น ผู้จัดจำหน่ายที่มีหนังขนาดกลางและเล็กอยู่ในมือ อาจไม่มีอำนาจต่อรองกับโรงภาพยนตร์ เพราะโรงภาพยนตร์ต้องเลือกหนังฟอร์มใหญ่ไว้ก่อน  เมื่อเป็นดังนี้พวกเขาอาจต้องหาทางเลือกอื่นเพื่อความอยู่รอด เช่น จัดจำหน่ายทางช่องทางสตรีมมิ่งแทน หรือไม่ก็ต้องเลิกกิจการไป 
  4. ธุรกิจสตรีมมิ่งจะยิ่งเติบโตพุ่งแรง: สำหรับภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่บางเรื่องที่สร้างเสร็จแล้ว และพร้อมฉาย การที่ต้องเลื่อนโปรแกรมการฉายออกไปย่อมส่งผลเสียหายไม่น้อย เพราะเราต้องไม่ลืมว่า ในการผลิตภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง นอกจากค่าผลิตที่ถือเป็นค่าใช้จ่ายสำคัญแล้ว ค่าโฆษณาและประชาสัมพันธ์ หรือที่เรียกว่า print and advertising cost ถือเป็นค่าใช้จ่ายสำคัญที่ผู้จัดจำหน่ายทุกค่ายต้องเสีย เพื่อทำให้ภาพยนตร์เรื่องนั้นอยู่ในพื้นที่การจดจำของผู้ชม  

ภาพยนตร์ฮอลลีวูดใช้งบโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยเฉลี่ย 50% ของต้นทุนผลิตภาพยนตร์ หมายความว่าถ้าภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง มีต้นทุนการสร้างสูงถึง 200 ล้านเหรียญ งบโฆษณาของหนังเรื่องนี้จะมีมูลค่าถึง 100 ล้านเหรียญเลยทีเดียว และยิ่งถ้าภาพยนตร์ถูกเลื่อนฉายนานเท่าใด งบค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็จะสุงตามไปด้วย  ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อยู่ไม่น้อย ที่บริษัทจัดจำหน่ายบางแห่งอาจไม่สามารถรอให้สถานการณ์กลับมาปกติได้ต่อไป โดยทางออกที่ดูจะเป็นไปได้มากที่สุดคือการ จัดจำหน่ายทางสตรีมิ่ง ที่เรียกว่า Premium Video on Demand ( PVOD) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ชมจ่ายค่าชมในการชมภาพยนตร์หนึ่งครั้งตามเวลาที่กำหนด  การจัดจำหน่ายผ่านช่องทางดังกล่าวก็ได้รับการพิสูจน์ว่าได้ผลมาแล้ว จากกรณีที่ค่าย Universal ตัดสินใจฉายภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Troll World Tour ทางช่องทางนี้ในเดือนเมษายนและทำรายได้ประมาณ 95 ล้านเหรียญจากการฉายเพียงแค่ 19 วันเท่านั้น

แม้ว่าการจัดฉายช่องทางนี้จะสร้างความขุ่นเคืองกับผู้ประกอบการโรงหนังเครือใหญ่อย่าง AMC ถึงขั้นประกาศแบนหนังจากค่าย Universal ทุกเรื่อง แต่ถ้าตราบใดที่สถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เราคงอาจได้ยินข่าวว่า สตูดิโอบางแห่งตัดสินใจนำหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉายในช่องทางนี้ก็เป็นได้ และเมื่อถึงเวลานั้นช่องทางสตรีมมิ่งจะกลายเป็นช่องทางหลักของการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ในยุค new normal อย่างเลี่ยงไม่พ้น

จากฉากทัศน์ทั้ง 4 ข้อที่ผู้เขียนได้ยกมาแม้ว่ามีความเป็นไปได้น้อยที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะหากพิจารณาจากประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกที่ผ่านวิกฤตการณ์มาหลายเหตุการณ์แล้วก็รอดพ้นมาได้ตลอดตั้งแต่สงครามโลกมาจนถึงความเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีแต่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ที่ความปกติใหม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว  อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ 

แท็กที่เกี่ยวข้อง
Writerภาณุ
ภาณุ อารีจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และภาพนิ่งในปี 2538 จากนั้นได้ทำงานเป็นช่างบันทึกเสียงให้กับภาพยนตร์ไทย 2 เรื่องได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง คู่กรรม ภาค 2 และ เพื่อเพื่อน เพื่อฝัน เพื่อวันเกียรติยศ ก่อนที่จะทำงานเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิหนังไทย ทำหน้าที่ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวภาพยนตร์ไทยในอดีต

ขณะเดียวกัน ภาณุ ได้ผลิตภาพยนตร์สารคดีขนาดสั้นและยาวหลายเรื่อง โดยในจำนวนนี้รวมถึงภาพยนตร์สารคดีสั้นเรื่อง “กาลครั้งหนึ่ง” (2543) ได้รับเลือกเข้าฉายที่เทศกาลภาพยนตร์ฮ่องกง ปี 2000 ภาพยนตร์เรื่อง “น้ำใต้ท้องเรือ” (2544) ซึ่งได้รับเลือกให้เป็น 100 หนังไทยที่คนไทยควรดู โดยหอภาพยนตร์แห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2543 ภาพยนตร์สารคดีขนาดยาว เรื่อง มูอัลลัฟ (2551) และ เบบี้ อาราเบีย (2553) ซึ่งทั้งสองเรื่อง

ภาณุได้ร่วมกำกับกับ ก้อง ฤทธิ์ดี และกวีนิพนธ์ เกตุประสิทธิ และได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ แวนคูเวอร์ เทศกาลภาพยนตร์สารคดียามากาตะ เทศกาลภาพยนตร์ฮาวาย เทศกาลภาพยนตร์ปูซาน เป็นต้น

ปัจจุบันภาณุ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศ บริษัทสหมงคลฟิล์ม และเป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชา ธุรกิจภาพยนตร์ และ การผลิตภาพยนตร์สารคดี ที่ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต , มหาวิทยาลัยบูรพา ,มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ,และมหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นนักเขียนประจำอยู่ที่ Film Club

ในปี พ.ศ. 2560 ภาณุ ได้รับรางวัล ปีติสันติธรรม จากสถานบันปรีดี พนมยงค์

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง