
ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกนายเล่าต๋า ราชาค้ายาเสพติดชื่อดัง ตลอดชีวิต พร้อมครอบครัว ยืนตามศาลชั้นต้น ขณะที่ลูกชายและพวกอีก 1 คน ถูกพิพากษาให้ประหารชีวิต
วันที่ 12 ธ.ค. 2562 เวลา 10.00 น. ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัว นายเล่าต๋า อายุ 79 ปี นักค้ายาเสพติดระดับชาติ, นางอาส่าหม่า อายุ 69 ปี ภรรยา, นายวิจารณ์ อายุ 43 ปี บุตรชาย, นายบารมี 40 ปี และนางรพีกาญจน์ อายุ 59 ปี ทั้งหมดเป็นชาวเชียงใหม่ จากเรือนจำมายังศาลเพื่อเข้าฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน ร่วมกันสมคบและร่วมกันจำหน่าย ยาไอซ์ ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต, ความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 ส่วนนาง อาส่าหม่า แสนลี่ ภรรยาของนายเล่าต๋า ไม่ได้เบิกตัวมา เนื่องจากเป็นผู้ต้องขังที่คดีถึงที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 25 ปี ปรับ 2.5 ล้านบาท ไม่ได้ยื่นขออุทธรณ์
จากกรณีเมื่อวันที่ 20 ก.ย. – 11 ต.ค. 59 นายเล่าต๋า, นางอาส่ามา และนางรพีกาญจน์ ได้จำหน่ายยาไอซ์ 1 ถุง หนัก 994 กรัมเศษ ให้กับสายลับในราคา 550,000 บาทที่นายเล่าต๋า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อเจรจาซื้อขายเอง โดยมีจำเลยที่ 4-5 เป็นผู้จัดหายาไอซ์ ชนิดผลึกสีขาว จำนวน 20 ถุง หนัก 19 กิโลกรัมเศษ จำหน่ายให้แก่สายลับที่เข้าล่อซื้อราคา 11 ล้านบาท
ทั้งนี้นายวิจารณ์ กับนายบารมี ยังทำหน้าที่คุ้มกันให้นายเล่าต๋า ระหว่างส่งมอบยาเสพติดด้วย ซึ่งระหว่างที่ถูกจับกุมนายเล่าต๋า จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนสั้นและปืนยาว รวม 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนจำนวนมาก ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนนายวิจารณ์ จำเลยที่ 4 บุตรชาย มีอาวุธปืน ขนาด.45 พร้อมเครื่องกระสุน, โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่องที่ใช้ในการติดต่อ และยาเสพติดของกลาง
โดยในชั้นสอบสวน นายเล่าต๋าและนางอาส่าหม่า ภรรยา ให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเท่านั้น ข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ ส่วนนางรพีกาญจน์ ให้การรับสารภาพโดยตลอด และนายวิจารณ์ รับสารภาพเฉพาะข้อหากระทำผิดพ.ร.บ อาวุธปืนเท่านั้น สำหรับนายบารมีให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
ศาลพิพากษาจำคุก นายเล่าต๋า ตลอดชีวิต และปรับเป็นเงิน 2.5 ล้านบาท ส่วนอาส่าหม่า ภรรยา ลงโทษจำคุก 25 ปี ปรับ 2.5 ล้านบาท และนางรพีกาญจน์ ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ปรับ 5 ล้านบาท ด้านนายวิจารณ์ บุตรชายของนายเล่าต๋า เเละ นายบารมี ศาลพิพากษาให้ประหารชีวิต ต่อมาพวกจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล แต่เมื่อถึงเวลาศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งหมดกระทำผิดจริง จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น









