ในยุคที่ความยั่งยืนและการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ กลายเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์และการขนส่ง ชื่อของ มิชลิน (MICHELIN) เด่นขึ้นมาในฐานะผู้นำที่ไม่เพียงแค่การส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง มิชลินยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
พวกเขาก้าวไปไกลกว่าการเป็นผู้ผลิตยางชั้นนำ ด้วยนวัตกรรมที่สามารถเชื่อมโยงความยั่งยืนควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้แนวคิด All-Sustainable ผ่าน 3P: People Profit และ Planet มาใช้ เพื่อตอกย้ำความแนวคิดของแบรนด์ผ่านการสื่อสาร MICHELIN, Motion For Life ที่ไม่ได้อยากหยุดอยู่แค่การมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมการขับเคลื่อน เพื่อประสบการณ์การสัญจรที่ดีกว่า แต่มุ่งมั่นขับเคลื่อนโลกที่ดีขึ้น ด้วยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนของการพัฒนาและกระบวนการผลิต
ซึ่งในปี 2024 มิชชินเปิดตัวแคมเปญ “On the Road and Beyond!” ที่ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรมของมิชลินที่นอกเหนือจากธุรกิจยาง

[เป้าหมายการผลิตยางยั่งยืน 100% ภายในปี 2050]
เมื่อยึดหลักการความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ วิสัยทัศน์ของมิชลินจึงเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันแต่ไม่ทำลายทรัพยากรสำหรับอนาคต และเพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งแวดล้อมจะไม่ถูกทำลายไปอย่างไม่มีวันฟื้นกลับมา เดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา มิชลินได้นำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ 2 รุ่น ซึ่งผลิตจากวัสดุที่ยั่งยืน 58% ในยางสำหรับรถโดยสายและ 45% สำหรับยางรถยนต์นั่ง และผ่านการอนุมัติให้ใช้งานบนถนนทั่วไปได้

ทั้งยังวางเป้าหมายว่าภายในปี 2050 จะเพิ่มการใช้วัสดุยั่งยืนในยางทุกรุ่นให้ถึง 100% ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และช่วยลดการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอีก ตัวอย่างความสำเร็จในปัจจุบันคือการนำวัสดุที่ยั่งยืนมาใช้ในผลิตภัณฑ์หลายประเภท ดังนี้
-
-
- ยางสำหรับรถแข่ง: ใช้วัสดุยั่งยืน 63%
- ยางสำหรับรถโดยสาร: ใช้วัสดุยั่งยืน 58%
- ยางสำหรับรถจักรยานยนต์: ใช้วัสดุยั่งยืน 52%
- ยางสำหรับรถยนต์: ใช้วัสดุยั่งยืน 45%
-
ไม่เพียงแค่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางสำหรับยานยนต์แบบดั้งเดิม มิชลินยังตอบสนองแนวโน้มการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ด้วยการพัฒนายางที่สามารถรองรับสมรรถนะของรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งยางมิชลินทุกรุ่นสามารถรองรับการใช้งานและตอบโจทย์ทุกความท้าทายของรถไฟฟ้าได้ (อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าได้ที่ https://www.michelin.co.th/why-michelin-electric-mobility)
โดยคงไว้ซึ่งการผลิตยางทุกเส้นภายใต้แนวคิด “Performance Made To Last” ที่ยางจะถูกผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้คงสมรรถนะดีเยี่ยมยาวนาน ปลอดภัย มั่นใจตั้งแต่วันแรกที่ใช้จนถึงวันที่เปลี่ยนยางรอบถัดไป ช่วยลดขยะจากการเปลี่ยนยางบ่อยเกินความจำเป็น ซึ่งแนวคิดนี้จะเป็นการผลิตยางทุกเส้นโดยที่เน้นความคงทนและประสิทธิภาพในการใช้งานในระยะยาวซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกไว้วางใจ และด้วยความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของมิชลินทำให้ยางมิชลินทุกเส้นตอบโจทย์การใช้งานและรองรับทุกความท้าทายของรถไฟฟ้าบนทุกสภาพถนน ซึ่งยางของมิชลินไม่ได้เป็นเพียงส่วนประกอบที่สำคัญของรถยนต์ แต่ยังเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์การขับขี่และความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น

หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นคือ MICHELIN e·PRIMACY ซึ่งถูกออกแบบมาพิเศษเพื่อลดแรงต้านการหมุน (Rolling Resistance) โดยเฉพาะ ยางรุ่นนี้เป็นยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า (EV) และรถยนต์ไฮบริด ด้วยการลดแรงต้านการหมุน ทำให้ยาง e·PRIMACY สามารถช่วยยืดระยะทางต่อรอบการชาร์จของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าได้ถึง 7% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 174 กิโลกรัมต่อการใช้งานหนึ่งชุดยาง เหมาะสำหรับเจ้าของรถไฟฟ้าหรือรถยนต์ไฮบริดที่กำลังมองหายางที่มีสมรรถนะที่ดีเยี่ยม ช่วยประหยัดพลังงาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และนุ่มเงียบสไตล์ยางมิชลิน
[ก้าวหน้าไปพร้อมกันทุกภาคส่วน]
มิชลินได้รับรางวัลด้านนวัตกรรมหลายรางวัล ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หนึ่งในนั้นคือรางวัล “Automotive News PACE Award” ซึ่งมอบให้กับบริษัทที่นำเสนอนวัตกรรมที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ และสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ทั้งยังมีความร่วมมือกับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อสร้างนวัตกรรมยั่งยืนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
-
-
- Carbios: ผู้เชี่ยวชาญด้านการรีไซเคิลพลาสติก PET ช่วยให้มิชลินสามารถนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ในการผลิตยาง
- Pyrowave: ผู้เชี่ยวชาญด้านการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการผลิต
- Enviro: ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตคาร์บอนแบล็กจากยางเก่า ซึ่งลดการพึ่งพาวัตถุดิบใหม่
- IFP Energies Nouvelles และ Axens: พัฒนากระบวนการผลิตบิวทาไดอีน (Butadiene) จากวัสดุชีวมวล เช่น เศษไม้ แกลบ และซังข้าวโพด แทนการใช้ปิโตรเลียม
-
ความร่วมมือเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้มิชลินลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติใหม่ แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
[Innovation for ON ROAD & BEYOND]
ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นวัตกรรมยางที่ใช้งานบนท้องถนนเท่านั้น มิชลินยังแสดงถึงความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมที่ก้าวไกลกว่าโลกใบนี้ ด้วยการมีส่วนร่วมใน การพัฒนายางสำหรับยานสำรวจในอวกาศ (Space Rover) โครงการวิจัยล้อไร้ลมสำหรับดวงจันทร์ของมิชลิน (MiLAW:Michelin Lunar Airless Wheel)เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่สนับสนุนโครงการ Artemis ของนาซา ซึ่งเป็นการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถรองรับสภาพแวดล้อมที่รุนแรงในอวกาศได้ นี่เป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพของทีมวิจัยและพัฒนาของมิชลิน ในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแค่ทนทาน แต่เป็นการวิจัยและพัฒนาที่ครอบคลุมและก้าวไปไกลกว่าขอบเขตการขับขี่บนท้องถนน
นอกจากนี้มิชลินยังมีบทบาทสำคัญในด้านไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะรางวัล ‘MICHELIN Guide’ ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นเครื่องมือช่วยยกระดับการใช้ชีวิตของผู้คน ด้วยการแนะนำร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนออกไปใช้ชีวิต นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า มิชลินไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่เพียงแค่ในอุตสาหกรรมยาง แต่ยังเป็นผู้นำในการสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่มีคุณภาพ

การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของ มิชลินไม่ได้เกิดจากการมุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความสามารถในการเชื่อมโยงนวัตกรรมต่างๆ ที่มีกับความยั่งยืนอย่างมีวิสัยทัศน์ ด้วยการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ไม่หยุดยั้ง มิชลินได้พิสูจน์ผ่านผลงานและรางวัลมากมายในด้านนวัตกรรม ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไปข้างหน้า และไม่ใช่แค่บนท้องถนนเท่านั้น แต่เป็นทุกด้านของการขับเคลื่อนและการใช้ชีวิต ด้วยพันธกิจ “Motion for Life” ที่ครอบคลุมทุกมิติของการขับขี่อย่างยั่งยืน
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://bit.ly/4dZsN0V










