ปรากฏการณ์ “บอล 7 สี” ฟีเวอร์ จนสนามศุภชลาศัยแตก คนดูทะลักมากกว่า 3 หมื่นคน เราไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนในรอบ 30 ปีมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่คือ “บอลนักเรียนด้วย”
นอกจากชัยชนะของทีมอบจ.ชัยนาท เหนือทีมหมอนทองวิทยา 2-1 แล้ว มีอะไรที่เราได้เรียนรู้จากกระแสบอล 7 สีครั้งนี้บ้าง สำนักข่าว Today จะสรุปให้ฟังใน 7 ข้อ

————-
1) ผู้จัดการแข่งขันต้องรับมือกับกระแสฟีเวอร์ให้ดีกว่านี้
ช่อง 7 สี ทำได้ดีมากในการสร้างความนิยมให้รายการ ปลุกปั้นนักกีฬา ทำสตอรี่ จนประทับใจคนทั้งประเทศ ทุกอย่างบิ้วให้นัดชิง ได้รับความสนใจมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลนักเรียนไทย
แต่ช่อง 7 ในฐานะผู้จัดกลับประเมิน กระแสฟีเวอร์อันนี้ผิดพลาด คำนวณผิดทุกอย่าง จนทำให้มีประชาชนเข้ามารอดูบอลจนคับคั่ง เพราะ “เข้าชมฟรี” ใครๆ ก็คิดว่ามาได้ และอุตส่าห์มาแล้ว ยังไงก็ต้องได้ดูในสนาม
ตอนแรกคนนั่งเต็มสแตนด์อยู่แล้ว คนที่มาช้า ไม่มีที่นั่ง ก็ได้แต่ยืนอออยู่นอกสนาม เริ่มมีการกดดันฝ่ายจัดขอเข้าไปดู และฝ่ายจัดก็ต้านกระแสมวลชนไม่ไหว สุดท้ายต้องปล่อยให้คนเข้ามาในสนามอยู่ดี แบบไร้การควบคุม จนแฟนบอลต้องมานั่งกันเต็มลูวิ่ง บางคนนั่งประชิดจนถึงมุมธง
ปีนี้โชคดี ที่ไม่เกิดเหตุร้าย มีแค่เด็กพลัดหลงกับผู้ปกครอง แต่อนาคตก็ไม่แน่ ถ้ายังจัดแบบนี้อยู่ ไม่มีการควบคุมแฟนบอลที่เหมาะสม ไม่มีตำรวจมากพอ ไม่มีการ์ดมากพอ อาจเกิดเหตุเหยียบกันตาย หรือ เหตุวิวาทรุนแรงได้ตลอดเวลา
ช่อง 7 สร้างกระแสฟีเวอร์ได้ ก็ต้องรับมือกับกระแสด้วย จะโยนความรับผิดชอบบอกว่า “คาดไม่ถึงว่าคนดูจะมาเยอะ” แบบนี้ไม่ได้
————-
2) คุณภาพฟุตบอลนัดชิง ดร็อปลงกว่าที่ควรจะเป็น
ปฏิเสธไม่ได้ว่า คู่ชิงที่ 3 ระหว่างอัสสัมชัญ ศรีราชา กับ หัวหินวิทยาลัย “สนุกกว่า” เพราะมีคนดูเหมาะสม ไม่ลามมาถึงลู่วิ่ง แต่ในนัดชิงของหมอนทองวิทยา กับ อบจ.ชัยนาท เกมฟุตบอลไม่ไหลลื่นอย่างที่ควรจะเป็น
หนึ่งในสาเหตุหลัก คือเรื่องการควบคุมปริมาณคนดู ที่ยืนเต็มไปหมด นักเตะจะเตะมุม หรือทุ่มบอล แทบจะทำไม่ได้ รวมถึงใช้พื้นที่นอกสนาม เช่น แตะบอลแล้วสปีดนอกสนาม วิ่งแซงตามไปเล่น แบบนี้ก็ทำไม่ได้ เพราะติดคนดูไปหมด
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนดูบางคนทำตัวไร้จิตสำนึกด้วยการตะโกนด่าทอนักเตะ ด้วยคำหยาบคาย โดยไม่คิดว่า พวกเขาคือเด็กมัธยมทั้งคู่ เอาอารมณ์มาโยนใส่ผู้เล่น แทนที่เด็กๆ จะได้เล่นฟุตบอลอย่างอิสระ ก็ต้องเล่นด้วยความหวาดกลัว
คุณภาพฟุตบอลสนุกน้อยลง แน่นอน อบจ.ชัยนาท สมควรเป็นผู้ชนะ แต่คำถามคือ ถ้าการจัดการดีกว่านี้ เกมจะสนุกยิ่งกว่านี้หรือไม่?

————-
3) ในฟุตบอลเยาวชน ไม่จำเป็นต้องสร้างตัวร้าย
อบจ.ชัยนาท คืออะคาเดมี่ของสโมสรชัยนาท ฮอร์นบิลล์ พวกเขามีความพร้อม มากกว่า โรงเรียนหมอนทองวิทยาอยู่แล้ว เพราะเด็กๆ ในอะคาเดมี่คือผู้เล่นที่เตรียมตัวก่อนจะเข้าไปเล่นฟุตบอลอาชีพในอนาคต ดังนั้นเรื่องศาสตร์ความรู้ เรื่องโภชนาการต่างๆ ก็ย่อมดีกว่าโรงเรียนหมอนทองฯ เป็นธรรมดา
ในกระแส “หมอนทองฟีเวอร์” ที่ผู้คนเอาใจช่วยหมอนทองฯ อยากให้สร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์บอล 7 สีให้ได้ ทำให้บางคนได้ สร้างภาพให้ อบจ.ชัยนาท คู่แข่งนัดชิง กลายเป็นตัวร้ายเสียอย่างนั้น
ไม่ใช่แค่แฟนบอล แต่เพจออฟฟิเชียลของ Thai League ก็ยังสร้างภาพให้หมอนทองเป็นพระเอก และให้ อบจ.ชัยนาทเป็นตัวร้าย โพสต์ข้อความว่า “มีครั้งไหนในประวัติศาสตร์บ้างที่ ทีมอันดับ 2 ได้รับการจดจำมากกว่าทีมอันดับ 1” เหลือเชื่อว่า เพจทางการของบอลไทยลีก ที่ควรจะเป็นกลางที่สุด ยังเชิดชูทีมหนึ่ง แล้วกดอีกทีมให้ต่ำลง
ทุกคนลืมไปหรือเปล่า ว่าทั้ง 2 ทีมคือเยาวชนทั้งสิ้น มันจำเป็นหรือ ที่ต้องสร้างบทธรรมะ – อธรรม ยัดใส่เด็กๆ แบบนี้ เราชื่นชมทีมหนึ่งได้ เชียร์ทีมหนึ่งได้ แต่ไม่ต้องทำให้อีกฝ่ายดูแย่ได้
————-
4) การ “มีแสง” ทำได้ แต่ต้องไม่รบกวนผู้เล่น
เมื่อหมอนทองวิทยา กลายเป็นสตอรี่ที่ผู้คนพูดถึงทั้งประเทศ ไม่แปลกที่จะมี คอนเทนต์ ครีเอเตอร์ หรือ อินฟลูเอนเซอร์ หรือดารานักแสดง จะอยากมีส่วนร่วมด้วย บางคนใช้คำว่า “หาแสง” กับเหตุการณ์นี้
คือดารา, อินฟลูฯ ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถ้าเขาสนใจฟุตบอล อยากซัพพอร์ทนักกีฬาจริงๆ ก็มีสิทธิ์ทำได้ อย่างไรก็ตาม การจะอยู่ในซีน จำเป็นต้องมีลิมิต ไม่ใช่ว่าคุณจะทำอะไรก็ได้
ก่อนแข่งขัน บุกไปถึงโรงเรียน ไปถึงแคมป์ ชวนเด็กๆ มาเต้น บางคนเอาสินค้าไปยัดใส่มือนักบอลก็มี คือเด็กๆ มัธยม การถูกสนใจ พวกเขาก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา แต่คนเป็นผู้ใหญ่ ก็ควรรู้จักกาลเทศะอย่าไปทำให้สมาธิเด็กแตกกระเจิงก่อนแข่งขัน ให้นักฟุตบอลได้โฟกัสที่ฟุตบอลจริงๆ

————-
5) ภาครัฐ ต้องสนับสนุน “ทุกโรงเรียน” ไม่ใช่โผล่มาสนับสนุนเฉพาะ “ทีมที่ดัง”
รองนายกฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า ได้สั่งการผ่านทาง สส.ไผ่ ลิกค์ ว่า “ให้ไปดูแลปรับปรุงโรงเรียนหมอนทองวิทยา เพราะได้สร้างนักกีฬาดีๆ” และมีการกล่าวถึง รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ คุณนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ด้วย ในเชิงว่า จะให้สนับสนุนโรงเรียนหมอนทอง เป็นกรณีพิเศษ
ถ้าเราบอกว่า อินฟลูเอนเซอร์ มา “หาแสง” กับบอล 7 สี เป็นเรื่องไม่โอเค การที่ภาครัฐมาหาแสงกับบอล 7 สี ยิ่งไม่โอเคมากกว่า สิ่งที่ภาครัฐควรทำคือพิจารณาว่า มีงบประมาณตรงไหนที่เป็นส่วนเกิน ใช้จ่ายซ้ำซ้อนอย่างไม่จำเป็น และจัดสรรงบนั้น กระจายให้โรงเรียนในแต่ละจังหวัดอย่างเป็นธรรมต่างหาก
มีคำกล่าวว่า ถ้าเอางบสร้างตึก สตง. ที่ถล่มไป 2,136 ล้าน และ เอางบที่สร้างกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ 3,832 ล้านบาท มารวมกัน จะได้เงิน 5 พันล้าน สามารถจัดสรร เอาไปสร้าง Facility ที่ดีมากๆ ให้กับโรงเรียนได้ทั่วประเทศ
5 พันล้านบาท จัดสรรให้ 5 พันโรงเรียน ยังได้โรงเรียนละ 1 ล้านบาท สามารถเอาไปสร้างสนามซ้อมดีๆ ซื้ออุปกรณ์ดีๆ เป็นประโยชน์กับเยาวชนได้อย่างมหาศาล ดังนั้นหน้าที่ของรัฐ ไม่ใช่เอาหน้า เกาะกระแส แต่เป็นการมองไปที่โครงสร้าง และพัฒนาเยาวชนอย่างเป็นระบบต่างหาก
————-
6) สมาคมฟุตบอลต้องต่อยอดจากบอล 7 สี ฟีเวอร์
ทุกคนคงเห็นแล้วว่า บอลเยาวชนถ้าทำให้ดี โปรโมทเป็น ก็สามารถสร้างกระแส และทำให้ผู้คนสนใจได้ ถ้าหากภาคเอกชนอย่างช่อง 7 ทำได้ขนาดนี้ หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ก็ควรทำได้ดีแบบนี้เช่นกัน
บอลเยาวชน คือรากฐานของประเทศในอนาคต ดังนั้นสมาคมจะสนใจแต่ “ยอดพีระมิด” นั่นคือทีมชาติชุดใหญ่ไม่ได้ แต่ต้องโฟกัสที่เยาวชนด้วย
บอล 7 สี มันดูสนุกจริง แต่กฎต่างๆ มันไม่เหมือนกับบอลโต๊ะใหญ่ 11 คน กฎล้ำหน้าก็ไม่มี คำถามคือทำอย่างไร สมาคม จะร่วมกับกรมพลศึกษา พัฒนาบอลกรมพละ ซึ่งเป็นถ้วยใหญ่ที่สุดในระดับเยาวชน ให้ประสบความสำเร็จได้เท่ากับที่ช่อง 7 ทำได้
นอกจากนั้น สมาคมต้องทบทวนว่า “ยูธลีก” ควรถือกำเนิดได้หรือยัง เวทีที่นักบอลเยาวชนจะได้ลงแข่งขันกันอย่างต่อเนื่อง เหมือนอย่างประเทศชั้นนำด้านฟุตบอลอย่างอังกฤษ หรือ ญี่ปุ่น ที่จะให้เด็กๆ จากอะคาเดมี่ เก็บเลเวลจากยูธลีกก่อน แล้วค่อยต่อยอดสู่ลีกของผู้ใหญ่

————-
7) ทุกคนสามารถเรียนรู้จากเด็ก รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย
สิ่งสุดท้ายที่น่าประทับใจมากๆ ในนัดชิงชนะเลิศ ระหว่างอบจ.ชัยนาท กับ หมอนทองวิทยา คือนักกีฬาและโค้ชของแต่ละฝ่าย ต่างยอมรับซึ่งกันและกัน
โค้ชสกล เกลี้ยงประเสริฐ ของหมอนทองฯ กล่าวชมทีมอบจ.ชัยนาท และขอแสดงความยินดีด้วย และบอกว่า จะพัฒนาทีมต่อไปทำให้ดีขึ้นในปีหน้า
นักเตะทั้งสองทีม จับไม้จับมือกัน กล่าวชื่นชมอีกฝ่าย ไม่มีใครโกรธแค้นกัน แรงก็แรงในเกม แต่จบแล้ว ทุกคนก็เป็นเพื่อนกัน
สิ่งที่พวกเขาแสดงออก คือ “น้ำใจนักกีฬา” คนชนะให้กำลังใจผู้แพ้ คนแพ้ร่วมยินดีกับผู้ชนะ พวกเขาทำในสิ่งที่เราพยายามปลูกฝังให้เด็กมาโดยตลอด
ดังนั้น ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่กว่า คนดูก็ต้องมีน้ำใจนักกีฬาเช่นกัน กองเชียร์ฝั่งชนะ ก็ไม่ใช่ไปเยาะเย้ยทีมผู้แพ้ กองเชียร์ผู้แพ้ก็ไม่ใช่ไปด่ากราดแล้วไปลดทอนคุณค่าของทีมชนะ เมื่อนักกีฬามีสปิริตแล้ว แฟนบอลก็ต้องมีสปิริตด้วย
————-
แม้ว่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่กระแสฟีเวอร์ของบอล 7 สี สร้างความคึกคักให้กับวงการกีฬาไทย นี่ถือเป็นเรื่องดี และถ้าหากภาครัฐ รวมถึงสมาคมฟุตบอล ถอดแนวทางของช่อง 7 เอาไปต่อยอดสร้างบอลเยาวชนไทยให้แข็งแกร่งขึ้น
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า กระแสฟีเวอร์บอล 7 สี จะไม่ใช่แค่ผ่านมาและผ่านไป แต่เราจะได้ประโยชน์จากมันจริงๆ ในระยะยาวด้วย










