“เอกชนไม่ทน” 4 องค์กรภาคเอกชน และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ชี้เศรษฐกิจไทยเจอวิกฤตซ้อนวิกฤต นักลงทุนเมิน รัฐบาลต้องเร่งฟื้นฟูหลักนิติธรรม กิโยตินกฎหมาย ปราบคอร์รัปชันทันที

“เอกชนไม่ทน” 4 องค์กรภาคเอกชน และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ชี้เศรษฐกิจไทยเจอวิกฤตซ้อนวิกฤต นักลงทุนเมิน รัฐบาลต้องเร่งฟื้นฟูหลักนิติธรรม กิโยตินกฎหมาย ปราบคอร์รัปชันทันที

สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ร่วมวงเสวนาหัวข้อ “ความพร้อมของกลไกเชิงสถาบันกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” ในเวทีสาธารณะด้านหลักนิติธรรม Rule of Law Forum ครั้งที่ 3

 

สำหรับเวทีครั้งนี้ จัดโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ร่วมกับเครือข่ายผู้บริหารด้านหลักนิติธรรมและการพัฒนา (RoLD) The World Justice Project (WJP) และสำนักข่าว The Standard เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เพื่อร่วมกำหนดทิศทางขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเร่งปฏิรูประบบหลักนิติธรรมเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดการลงทุน 

โดยผู้ร่วมเวทีทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่า ไทยกำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง กลายเป็นดินแดนที่ไม่จูงใจนักลงทุนต่างชาติ จากปัญหาใหญ่ “ขาดหลักนิติธรรม” เพราะมีกฎหมายที่ล้าสมัย กฎหมายซ้ำซ้อนให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐใช้ดุลพินิจมากเกินไป และเต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน จึงถือเป็นวาระเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเร่งฟื้นฟูหลักนิติธรรม เพราะ “ภาคเอกชนจะไม่ทน” อีกต่อไป  

หอการค้า เตรียมเปิดผลการศึกษา “คอร์รัปชันไทยอยู่ในระดับที่น่ากลัว” ส่งผลกระทบต่อการค้าการลงทุนมหาศาล 

“ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ต้องการจะเปิดเผยผลการศึกษาในช่วง 4-5 ปีหลัง ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ที่ถูกจัดว่ามีความน่าเชื่อถือมาก โดยพบว่า ประเทศไทยมีปัญหาคอร์รัปชันอยู่ในระดับรุนแรง มีตัวเลขที่เห็นแล้วสามารถใช้คำว่า “น่ากลัวมาก” ทำให้ที่ผ่านมามีผู้ใหญ่ขอร้องไม่ให้เปิดเผย แต่จากนี้ไป กกร.ตัดสินใจว่าจะนำมาเปิดเผยในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อเสนอแนะว่า ประเทศไทยต้องใช้คำว่า หลักนิติธรรมและหลักธรรมาภิบาลมาต่อต้านการคอร์รัปชัน”

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นปัญหาใหญ่ของการทำธุรกิจและการส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย แม้ว่าทางหอการค้าจะพยายามให้ความร่วมมือกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน แต่หากพิจารณาจากดัชนีชี้วัดด้านต่าง ๆ ในระดับโลก ก็พบข้อเท็จจริงว่า การคอร์รัปชันในประเทศไทยยิ่งรุนแรงขึ้นขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เชื่อมโยงกับตัวชี้วัดอีกตัว คือ ดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม ที่ประเทศไทยได้คะแนนไม่ดีเช่นกัน

ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ย้ำว่า หากประเทศไทยยังไม่มีแนวทางระงับยับยั้งการทุจริตที่ฝังรากลึกลงไปแล้ว ก็จะส่งผลให้เสียบรรยากาศในการลงทุน เพราะไทยยังมีกฎหมายที่เต็มไปด้วยระเบียบและขั้นตอนที่ล้าสมัย ให้อำนาจในการใช้ดุลพินิจกับหน่วยงานของรัฐมากมายและซ้ำซ้อน สะท้อนว่ายังมีระบบราชการที่ไร้ประสิทธิภาพ เป็นผลให้เกิดการคอร์รัปชัน ในขณะที่ภาคเอกชนพยายามเรียกร้องมาตลอดให้รัฐทำกระบวนการปฏิรูปกฎหมาย เพื่อกำจัดกฎหมายที่ล้าหลังและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ แต่ก็ได้ผลบ้างเท่านั้น 

การขาดเสถียรภาพทางการเมือง และการมีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ไม่ต่อเนื่อง เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเน้นย้ำว่า ส่งผลทำให้การลงทุนในประเทศยังไม่นิ่ง ดังนั้นภาคเอกชนต้องการให้รัฐมีนโยบายที่นิ่ง ต่อเนื่อง พร้อมไปกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะด้านการศึกษา

“ภาคเอกชนจะไม่ทนกับการคอร์รัปชันอีกต่อไป ดังนั้น กกร.ตัดสินใจแล้วว่า จะขับเคลื่อนเดินหน้าต่อต้านการคอร์รัปชันร่วมกับองค์การต่อต้านคอร์รัปชัน (ACT) และ ป.ป.ช. เพราะคนที่ต้องยอมจ่ายเงินให้กับการคอร์รัปชันก็คือพวกเรา” 

สำหรับแนวทางที่ภาคเอกชนจะทำเพื่อส่งเสริมภาคเอกชนด้วยกันให้ทำธุรกิจด้วยหลักนิติธรรม จะอยู่ภายใต้ motto ว่า Unlocking New Growth หรือ การปลดล็อกเพื่อการเติบโตของหอการค้าไทย ด้วยการต่อต้านคอร์รัปชัน” 

มีกฎหมายล้าสมัย แต่มีคอร์รัปชันเป็น Soft Power ฉุดภาคอุตสาหกรรมไทย แข่งขันไม่ได้ในเวทีโลก

“ที่เราบอกว่า ease of doing business มันจะง่ายได้จริงมั้ย ถ้าการคอร์รัปชันกลายเป็น New Normal ในประเทศไทย … ต้องถามว่านี่ถือเป็น Soft Power ของประเทศหรือเปล่า เพราะมีการจ่ายกันแบบไม่เคอะเขิน จ่ายกันกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ” 

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นำเสนอว่า ขณะนี้มีปัญหาซ้อนปัญหาเกิดขึ้นทั่วโลก ถือเป็น global challenges ทั้งสงครามทางการค้า ปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิต และหากมาดูเฉพาะในประเทศไทย ก็จะพบปัญหาที่ซ้อนปัญหาอยู่อีก 8 ปัจจัยใหญ่ ที่เคยแจ้งต่อนายกรัฐมนตรีและทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลไปแล้ว 

8 ปัจจัยปัญหาที่ประธานสภาอุตสาหกรรม กล่าวถึง คือ ภาษีสหรัฐและสงครามการค้า ซึ่งแม้ได้รับการปรับลดภาษีนำเข้าสหรัฐลงมาเหลือ 19% แล้ว แต่ในรายละเอียดยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ข้อยุติ … ปัญหาการทุ่มตลาดมาที่ภูมิภาคอาเซียนอย่างหนัก โดยเฉพาะผลกระทบมากที่สุดคือประเทศไทย จนทำให้ธุรกิจ SME ของไทยกำลังจะไปต่อไม่ได้ … ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งไทยอยู่ระหว่างความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจ … ปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชา ซึ่งต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบกับการค้าชายแดนของไทย เพราะไทยได้เปรียบดุลการค้าจากกับกัมพูชาอยู่ประมาณปีละ 1 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลต้องมีมาตรการช่วยเหลือธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบ … ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ ซึ่งเดิมมีข้อมูลว่า หนี้ครัวเรือนของไทยเคยมีมูลค่าสูงถึง 90% ของ GDP และถ้าไปรวมกับหนี้นอกระบบด้วย มีมูลค่าสูงถึง 104% ของ GDP ทำให้ประชาชนไม่มีกำลังซื้อสินค้าเพราะมีหนี้สิน หนี้ธุรกิจก็กำลังจะกลายเป็นหนี้เสีย ส่วนหนี้ SME พุ่งสูงขึ้นไปถึง 7.62% ทั้งหมดเป็นปัญหาที่ต้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาช่วยดู … ปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกซึ่งคิดเป็น 60% ของรายได้ GDP และภาคท่องเที่ยว อีก 10% … ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ … และปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง 

แต่ภายใต้ปัญหาทั้ง 8 ปัจจัยนี้ มีสิ่งที่เป็นหัวใจอยู่ตรงกลาง ก็คือ ปัญหาเชิงโครงสร้าง อีก 5 เรื่อง ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ ชี้ให้เห็นปัญหาใหญ่กว่าที่ซ่อนอยู่ ประกอบด้วย 

ปัญหามีประชากรเกือบ 14 ล้านคน หรือ คิดเป็น 21% ของจำนวนประชากรเป็นผู้สูงวัย เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุปัญหาติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางมาเป็นเวลานาน เพราะอุตสาหกรรมของไทยไม่มีคุณค่าทางการตลาดมากพอปัญหาระบบการศึกษาไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานภาคอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทำให้คนที่เรียนจบมาไม่มีงานทำปัญหางบประมาณไม่สมดุล เพราะมีฐานการเก็บรายได้จากคนเพียงประมาณ 4 ล้านคน เพื่อมาเลี้ยงคนกว่า 60 ล้านคนและปัญหาการคอร์รัปชันในระบบราชการ ซึ่งเกิดจากทั้งระบบราชการและระบบกฎหมายไทยที่ล้าสมัย … 5 ประเด็นนี้ ถือเป็นปัญหาแกนกลางของไทย 

ส่วนข้อเสนอ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ย้ำว่า ต้องเริ่มจากกลับไปกลัดกระดุมเม็ดแรก โดยต้องเข้าใจว่า ดัชนีการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศใดก็ตามจะต้องวิ่งควบคู่ไปกับการมีค่าดัชนีหลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่ดี ประเทศที่มีค่าหลักนิติธรรมดีจึงมีเศรษฐกิจที่เติบโตและมั่นคง แต่ถ้าเป็นไปในทางตรงกันข้าม ก็จะมีสภาพเหมือนกับประเทศไทยในเวลานี้ 

“เป็นไปได้ยังไง ไทยเคยเป็นประเทศที่เป็นดาวรุ่งในภูมิภาคอาเซียน แต่กลับมีสภาพยับยู่ยี่ขนาดนี้ … ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา (2558-2568) ประเทศเรามีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยปีละ 2% เท่านั้น และในปีนี้ (2568) เมื่อดูทุกไตรมาสแล้ว ค่าเฉลี่ยก็น่าจะอยู่ที่ 1.8-2.2% … ดังนั้น เมื่อเราเข้าไปดูว่าทำไมขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยจึงตกลงมาถึง 5 อันดับ ก็จะเห็นเลยว่า ประสิทธิภาพของรัฐในการให้บริการมีปัญหา โครงสร้างพื้นฐานซึ่งเป็นเรื่องของงบประมาณที่รัฐต้องนำมาลงทุนมีปัญหา ประสิทธิภาพของภาคเอกชนลดลง” 

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ย้ำว่า ภาคเอกชนพยายามนำเสนอในทุกเวทีในเรื่องของการกิโยตินกฎหมาย ซึ่งมีผลการศึกษาเดิมหากทำไปเพียงพันกว่ากระบวนการ จะช่วยเพิ่ม GDP ได้ถึง 0.8% แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่เกิดขึ้น จึงต้องขอเสนอซ้ำไปว่าขอให้รีบทำทันที เพราะกฎหมายที่มีมากเกินไปและล้าสมัยเป็นที่มาของคอร์รัปชัน 

“ย้ำด้วยว่า กกร.ไม่ทน … เพราะการคอร์รัปชันเกิดจากทฤษฎีสามขา คือ นักการเมือง ข้าราชการ และขาที่ต้องจ่ายเงินคือภาคเอกชน … ดังนั้นต้องแก้ที่ 2 ขาฝ่ายรับ คือ นักการเมืองกับข้าราชการ ถ้าทำได้ ประเทศไทยจะแข่งขันได้แน่นอน”

 

Reinvent Thailand ภาคเอกชน เสนอรัฐบาลจับมือฟื้นเศรษฐกิจไทยด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรม 

“ข้อมูลทุกด้านแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทย โดยสรุปได้เป็น 3 ด้าน คือ ความเปราะบางเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิม ขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาดใหม่ และประสิทธิภาพในการทำงานของรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดนี้ มีหัวใจอยู่ที่ประเทศไทยกำลังขาดหลักนิติธรรม”

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ระบุว่า ประเทศไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมายังไม่สามารถออกจากกับดักการเติบโตได้ และทุกครั้งที่มีวิกฤตก็จะถูกกดให้ย่ำแย่ลงไปอีกอย่างต่อเนื่อง หากยังเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ประเทศไทยจะยังเติบโตช้ากว่าประเทศอื่นในภูมิภาค จะถูกแซงไปเรื่อย ๆ และจะนำไปสู่ปัญหาอีกมากมายตามมาในทุกมิติ โดยได้นำเสนอข้อมูลเชิงสถิติหลาย ๆ ด้านมาแสดงเป็นหลักฐานยืนยัน 

ข้อมูลแรก คือ ข้อมูลที่ระบุว่า บุคลากรของประเทศไทยในเวลานี้ มีผู้สูงอายุเป็นจำนวนมาก ในขณะที่คนวัยทำงานมีจำนวนลดลง โดยมีการคำนวณไว้ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ประชากรจะลดลงไปอีก 1 ล้านคน แต่จะมีจำนวนผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นเป็น 30% ของประชากรทั้งหมด

ข้อมูลต่อมา คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ มีตัวเลขระบุว่า คนไทยกลุ่มที่มีรายได้สูงสุดเพียง 10% เป็นกลุ่มที่ครอบครองรายได้สูงถึง 52% ของประเทศ นำไปสู่ปัญหาการจ้างงานตามมา เพราะมีข้อมูลที่สอดคล้องกันชี้ว่า รายได้ส่วนใหญ่ไปกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มธุรกิจรายใหญ่เท่านั้น  

“ผู้ประกอบการรายใหญ่เพียง 1% คือส่วนที่มีผลต่อ 65% ของ GDP ขณะที่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SME ทั้งหมดรวมกัน มีผลเพียง 35% ของ GDP … แต่กลุ่ม SME ที่ส่งผลต่อ GDP น้อยกว่ามาก กลับเป็นผู้จ้างงานคนไทยถึง 70% ของแรงงานทั้งหมด” 

ประธานสมาคมธนาคารไทย ยังแสดงตัวเลขที่ทำให้เห็นว่า ประเทศไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบมาก คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 48% ของ GDP และมีแรงงานนอกระบบสูงถึง 53% สะท้อนผ่านตัวเลขระบบภาษีอากร ที่มีคนยื่นเสียภาษีประมาณ 11 ล้าน แต่มีคนเสียภาษีจริงเพียงประมาณ 4 ล้านคน และมี SME เพียง 28% อยู่ในระบบ ส่วนอีกกว่า 70% อยู่นอกระบบ นำไปสู่ปัญหามากมายที่มีการศึกษามาแล้วจากธนาคารโลก ทั้งปัญหาประชากรมีรายได้ต่ำกว่าศักยภาพ ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ปัญหาการขาดธรรมาภิบาลของหน่วยงานรัฐ ปัญหาผลิตภาพอยู่ในระดับต่ำ ปัญหาการปรับตัวได้ช้า และปัญหามีการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ช้ากว่าที่ควรจะเป็น 

“ทั้งหมดนี้ ปัญหาที่เป็น Key หลัก ก็คือ การขาดหลักนิติธรรม” ประธานสมาคมธนาคารไทย ย้ำ

อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่มีข้อมูลมาแสดง คือ ปัญหาหนี้สิน ทั้งหนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบ รวมสูงถึง 104% ของ GDP ซึ่งมีผลการศึกษาพบว่า ประชากรไทยทั้ง GEN Y และ GEN Z มีหนี้สินมากแล้วทั้งหนี้บ้านและรถยนต์ แต่ที่สำคัญคือ กลุ่มผู้สูงวัยเป็นกลุ่มที่มีหนี้เสียเป็นจำนวนมหาศาล ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และต้องไปพึ่งเงินกู้นอกระบบ เพราะไม่มีระบบสวัสดิการของรัฐเข้าไปดูแล และไม่มี Social Safety Net สำหรับกลุ่มเปราะบาง

ข้อมูลที่ถูกนำมาแสดงยังชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยมีแรงงานนอกระบบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่แรงงานในระบบกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้ต่อครัวเรือนลดลงตามไปด้วย ในขณะที่การรายงานตัวเลขแรงงานของไทยก็มีปัญหา เพราะนำตัวเลขผู้ว่างงานไปบรรจุไว้ในตัวเลขของแรงงานภาคเกษตรซึ่งไม่สะท้อนความเป็นจริง จากนั้นก็ใช้ทรัพยากรสาธารณะเข้าไปเจือจุนผ่านนโยบายประชานิยมอย่างหนักหน่วงขึ้นไปเรื่อย ๆ 

“มาที่ภาคธุรกิจ ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แสดงให้เห็นด้วยว่า ธุรกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา มีสัดส่วนการปิดตัวลงมากกว่าเปิดใหม่ และธุรกิจที่เปิดใหม่ก็อยู่ในภาวะขาดทุน”

นอกจากนี้ ประธานสมาคมธนาคารไทย ยังแสดงให้เห็นข้อมูลที่มีปัญหาอีกหลายด้าน ทั้ง ปัญหาตลาดทุนในไทยไม่ให้ผลตอบแทนในประเทศตามที่พึงจะมี ประสิทธิภาพของภาครัฐตามหลังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและมาเลเซียมาหลายปี ปัญหาการเติบโตของเงินสีเทาที่ไม่สามารถเชื่อมโยงหาที่มาของเงินได้ และไม่สามารถหาสาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งตัวได้ 

สำหรับแนวทางที่จะพาประเทศไทยออกจากวิกฤตนี้ ประธานสมาคมธนาคารไทย นำเสนอแพลตฟอร์มเชิงนโยบายที่เรียกว่า Reinvent Thailand ซึ่งเกิดจากการขบคิดร่วมกันของภาคเอกชน 3 สถาบัน ร่วมกับสถาบันภาคการเงิน คือ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย โดยจะสร้างเป็นแพลตฟอร์มให้เกิดเวทีถกเถียงสาธารณะโดยมีรัฐเป็น Lighthouse โดยกำหนดเป้าหมายที่จะทำให้สำเร็จในเวลาอันสั้น คือ Quick Big Win ในเวลา 4 เดือน ใน 5 ภาคธุรกิจที่จะสร้างผลกระทบกับ SME และเกิดการจ้างงานมากที่สุด คือ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการเกษตรและอาหาร ภาค Medical & Wellness ภาคยานยนต์ และภาค Smart Electronic ซึ่งได้นำเสนอต่อรัฐบาลไปแล้ว และเป็นแพลตฟอร์มที่ กกร.จะให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการดำเนินการกิโยตินกฎหมายที่เกี่ยวกับ 5 ภาคธุรกิจนี้

 

รัฐต้องกิโยตินกฎหมาย โดยไม่ต้องถามหน่วยราชการ ได้ GDP เพิ่มทันที 0.8%  

เรื่องการปฏิรูปกฎหมายที่ซ้ำซ้อนและล้าสมัย หรือการกิโยตินกฎหมาย มีคณะทำงานทำการศึกษากันมานานแล้ว สามารถทำได้เลย และต้องทำอย่างเร่งด่วนด้วย เพื่อไม่ให้กฎหมายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ ถ้ามี Political View ก็สามารถทำได้เลย และได้ยินว่าฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลนี้มีความตั้งใจที่จะทำ ก็ต้องรอดู

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนาพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ปัญหาที่ประเทศไทยกำลังพบเจอ คือ ปัญหา กับดักของกฎหมาย ซึ่งแยกออกเป็น 3 เรื่องใหญ่ คือ กระบวนการออกกฎหมายที่ล่าช้า การยกเลิกกฎหมาย และการปฏิรูปโครงสร้างภาษีอากร 

กระบวนการออกกฎหมายไทยที่มีความล่าช้ามาก เป็นกับดักข้อแรกที่ ศ.(พิเศษ) กิติพงษ์ ให้ข้อมูลว่า การออกพระราชบัญญัติ 1 ฉบับของไทย จะต้องใช้เวลาเฉลี่ยถึงประมาณ 18-26 เดือน ซึ่งถือว่าใช้เวลานานเกินไป เช่นเดียวกับการออกกฎหมายลำดับรองอื่น ๆ ซึ่งมีหลายกรณีที่การออกกฎหมายล่าช้าทำให้ผู้ประกอบการมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นมากจากการไม่มีกฎหมาย และทำให้ประเทศต้องเสียโอกาสในการแข่งขัน  

กับดักที่ 2 เป็นกับดักที่ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มองว่า สำคัญที่สุด มีผลกระทบกับภาคเศรษฐกิจมากที่สุด และต้องทำโดยเร่งด่วนที่สุด นั่นคือ การยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัยและซ้ำซ้อน หรือการกิโยตินกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติถึงเกือบ 1,400 ฉบับ กฎหมายลำดับรองเกือบ 1 แสนฉบับ และประเภทใบอนุญาตอีกประมาณ 7,000 ใบ โดยมีกฎหมายเป็นจำนวนมากที่ไม่สอดคล้องกับบริบทของสังคมปัจจุบัน หรือออกมาซ้ำซ้อนกันเอง เป็นผลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจมาก มีขั้นตอนที่ยุ่งยากและซับซ้อนในการประกอบธุรกิจของเอกชน เกิดช่องทางการคอร์รัปชันได้ง่าย ไม่จูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน พร้อมระบุด้วยว่า ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ได้มีส่วนร่วมให้เข้าไปช่วยในกระบวนการกิโยตินกฎหมายมาตลอด แต่ทำไปได้เพียงแค่ประมาณ 10% เท่านั้น เพราะติดกระบวนการที่รัฐบาลชุดก่อน ๆ จะต้องไปถามความเห็นจากเจ้าของกระทรวงก่อน และได้รับคำตอบว่า ไม่เห็นด้วยในที่สุด  

“มาวันนี้ รองนายกรัฐมนตรีบวรศักดิ์ อุวรรณโณ มาชวนให้ไปช่วยทำกิโยตินกฎหมายอีกรอบ ทั้งที่รัฐบาลนี้จะมีอายุแค่ 4 เดือน โดยบอกว่า จะทุบเลย จะไม่ขอความเห็นจากหน่วยงานเจ้าของกฎหมายแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ต้องรอดู เพราะในความเป็นจริงแล้ว ถ้าจะเริ่มด้วยการแก้กฎหมายลำดับรอง ก็สามารถทำเสร็จได้เลยแค่ภายใน 1 เดือนเท่านั้น เพราะมีการศึกษาไว้หมดแล้ว”

“ล่าสุด รัฐมนตรีพาณิชย์ ศุภจี ก็มาคุยที่ตลาดหลักทรัพย์ว่าจะทำให้กระทรวงพาณิชย์เป็นกระทรวงแรกที่กิโยตินกฎหมายได้เร็ว … ผมก็บอกว่า มีการศึกษากฎหมายของกระทรวงพาณิชย์มาหมดแล้ว ทั้งการแก้ พรบ. หรือแก้ในระดับกฎกระทรวง เพียงแต่ว่า มันต้องมี political view ที่จะทำ” 

ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เสนอต่อไปว่า ถ้า 2 กระทรวงหลัก คือ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง ซึ่งมีรัฐมนตรีคนนอกที่มาจากภาคเศรษฐกิจเป็นผู้นำการทำกิโยตินกฎหมาย จะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนให้กระทรวงอื่นต้องดำเนินการตาม โดยเฉพาะกระทรวงที่มีกฎหมายล้าสมัยและซ้ำซ้อนมากที่สุดกระทรวงมหาดไทย ก็อาจจะต้องทำตามทันที เพราะนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยด้วย และประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นคือ GDP ของไทยจะเพิ่มขึ้นมาทันที 0.8% พร้อมกับการลดลงของปัญหาคอร์รัปชัน

“ถ้าเรื่องกิโยตินกฎหมายโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและตลาดทุนถือเป็นวาระสำคัญที่รัฐบาลซึ่งมีอายุเพียง 4 เดือนจะทำ ก็สามารถทำได้ ด้วยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เปิดการรับฟังความเห็น ขอความร่วมมือจากทุกพรรคการเมืองรวมทั้งพรรคฝ่ายค้าน และเสนอเป็นพระราชกำหนดผ่านกลไกรัฐสภาไปเลย … เพราะถ้าไม่ทำในรัฐบาลนี้ ก็คาดว่า รัฐบาลชุดใหม่หลังเลือกตั้งก็คงยากที่จะได้ทำ” 

ส่วนกับดักที่ 3 คือ การปฏิรูปโครงสร้างภาษี มีข้อมูลที่สำคัญมาก คือ มีบริษัทจดทะเบียนนิติบุคคลในไทยทั้งหมดประมาณ 9 แสนบริษัท มีประมาณ 3 แสนบริษัทที่ยื่นภาษี และมีเพียงประมาณ 1 แสนบริษัทเท่านั้นที่เสียภาษีจริง และ 800 บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีสัดส่วนเป็นผู้เสียภาษีคิดเป็นถึง 34% หรือประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้ที่กรมสรรพากรจัดเก็บได้ทั้งหมด จึงต้องไปดูว่า ธุรกิจที่ควรจะต้องเสียภาษีอีกเป็นจำนวนมากหายไปไหน ซึ่งสามารถไปดูได้จากกลไกของตลาดหลักทรัพย์ในการมาตรการต่าง ๆ ให้ทุกบริษัทจดทะเบียนต้องเข้าสู่ระบบภาษี รวมทั้งต้องพยายามเปลี่ยน mindset ของคนไทย ที่ไม่มองการเสียภาษีเป็นหน้าที่แต่มองเป็นภาระ จึงต้องทำควบคู่ไปกับการเขียนกฎหมายที่ระบุให้คนไทยทุกคนต้องยื่นภาษี ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีงบประมาณเพิ่มขึ้นอีกมาก 

 

คอร์รัปชันฝังรากลึก จากหลบซ่อนกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กัน ประเทศไทยต้องไม่ตกต่ำไปกว่านี้อีกแล้ว

รูปแบบการคอร์รัปชันที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้ ล้วนเป็นเรื่องเดิม รูปแบบเดิม ที่เราพูดถึงกันมานานแล้ว แต่ที่เลวร้ายไปกว่าเดิม คือ ในปัจจุบันการคอร์รัปชันมันไม่ใช่การลักกินขโมยกินอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ 

ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ยกตัวอย่างการคอร์รัปชันหลายรูปแบบที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจนกลานเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่ การออกใบอนุญาตต่าง ๆ ทั้งการติดต่อเรื่องที่ดิน ขนส่ง ก่อสร้าง การขอเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์อาหาร … การคอร์รัปชันในโครงการก่อสร้างภาครัฐซึ่งมักจะดำเนินการได้ล่าช้ากว่ากำหนดเสมอแถมยังก่อให้เกิดอุบัติเหตุจนมีผู้บริสุทธิ์ได้รับความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก … การวิ่งเต้นของข้าราชการเพื่อการเติบโตในตำแหน่งหน้าที่ ที่มีข้อสงสัยมากมายถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของนายตำรวจระดับสูงมาจนถึงเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนหน่วยงานพร้อมได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว … การใช้อำนาจทางการเมืองสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมาทำคดีใหญ่เพื่อปกป้องความผิดของเจ้านายตัวเองหรือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม … การไม่เปิดเผยผลการสอบสวนในคดีสำคัญอย่างคดีทายาทตระกูลดังขับรถชนตำรวจเสียชีวิต คดีนาฬิกาหรูที่ไม่มีอยู่ในบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือคดีตึก สตง.ถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว … และการทุจริตเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทุกระดับ 

“ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เราคิดไปเอง แต่มันมีอยู่ในรายงานการศึกษาของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนในประเทศไทย และไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบงานของรัฐ ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม รวมไปถึงความเชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล”

“อะไรทำให้หลักนิติธรรมของไทยมันตกต่ำลงไปได้ขนาดนี้ และหวังว่าจากนี้ไป จะไม่มีองค์กรไหน หรือรัฐบาลไหน ทำให้มันตกต่ำลงไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว” 

ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ยังเห็นว่า รัฐบาลไทยควรใช้โอกาสที่ต้องการประกาศตัวเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโตทางทางเศรษฐกิจด้วยเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ OECD ให้เป็นประโยชน์ เพราะมีเงื่อนไขการเข้าเป็นสมาชิกหลายข้อที่ต้องทำให้ได้ ซึ่งรวมถึงการปราศจากคอร์รัปชันด้วย และต้องช่วยกันหนุนเสริมองค์กรภาคเอกชน ทั้งสภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารไทย รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ ที่ประกาศจุดยืนแล้วว่าจะไม่ทนกับการคอร์รัปชันอีกต่อไป เป็นการจับมือกันเพื่อต่อต้านคอร์รัปชันของทั้งประชาชน นักธุรกิจ และข้าราชการ เพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานต่าง ๆ ต้องเปลี่ยนแปลง 

แท็กที่เกี่ยวข้อง
TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง