เป็นเวลากว่า 15 ปี ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ควบคุมด้วยกฎหมายพิเศษเพื่อรักษาความสงบ ขณะที่กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนออกมาระบุว่า การใช้กฎหมายพิเศษทำให้เกิดการอุ้มซ้อม อุ้มหาย จึงเรียกร้องให้มีกฎหมายคุ้มครองป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับให้สูญหาย

พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า
ประชาชนกว่าร้อยละ 70 ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ต้องการให้คงกฎหมายพิเศษไว้ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยืนยันว่าเป็นผลสำรวจทัศนคติของประชาชนทุก 3 เดือน ของศูนย์ประเมิน

ตลอด 15 ปี มีเสียงสะท้อนว่ากฎอัยการศึกอาจขัดต่อกติการระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายฯ ที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคี แต่ยังไม่ให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมิให้สูญหาย ซึ่งเครือข่ายสิทธิมนุษยชนพยายามผลักดันให้รัฐบาลออก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยเฉพาะร่างจากกระทรวงยุติธรรมที่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่าย เช่น ฝ่ายความมั่นคง
แต่ท้ายสุด สภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่นำร่าง พ.ร.บ.มาพิจารณา

สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แสดงความกังวลในรายละเอียดของร่างที่อาจจะขาดหายไป โดยเฉพาะในมาตรา 11 การกำหนดสถานะของรัฐ
มาตรา 12 การไม่ส่งบุคคลออกนอกราชอาณาจักรที่อาจทำให้เกิดการทรมานหรือสูญหาย
รวมถึงมาตรา 13 กำหนดให้ญาติหรือครอบครัวผู้สูญหายอยู่ในคณะกรรมการฯ

นักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เชื่อว่า หากมี พ.ร.บ.ฉบับนี้จะคุ้มครองเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะสามารถปิดช่องโหว่การอุ้มหายและการซ้อมทรมานที่ทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ

โดยเฉพาะ มาตรา 6 กำหนดถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่จับ ขังมีความผิดกระทำให้บุคคลสูญหาย และมาตรา 21 กำหนดให้มีการบันทึกข้อมูลร่างกายผู้ถูกจับ และต้องยินยอมเปิดเผย
แต่ในความไม่แน่นอนว่าคณะรัฐมนตรีจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เมื่อใด จึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาลไทย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง









