อัยการยื่นอุทธรณ์คดี ‘เสี่ยเบนซ์’ ขับรถชน ‘รองตี๋’ หลังศาลชั้นต้นสั่งให้รอลงอาญา

อัยการยื่นอุทธรณ์คดี ‘เสี่ยเบนซ์’ ขับรถชน ‘รองตี๋’ หลังศาลชั้นต้นสั่งให้รอลงอาญา

อัยการสั่งยื่นอุทธรณ์คดี เสี่ยเบนซ์ ขับรถชนนายตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2562 หลังศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 3 ปี ปรับ 1 แสน แต่ให้รอลงอาญา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 26 ก.ค. 2563 พนักงานอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงธนบุรี มีคำสั่งยื่นอุทธรณ์คดี ขอให้ศาลไม่รอการลงโทษ นายสมชาย เวโรจน์พิพัฒน์ อายุ 56 ปี เสี่ยเจ้าของธุรกิจผลิตและประกอบอะไหล่รถยนต์ หรือเสี่ยเบนซ์ จำเลยในคดีหมายเลขดำ 1839/2562 ของศาลอาญาตลิ่งชัน (ศาลจังหวัดตลิ่งชันเดิม) ในฐานความผิดรวม 3 ข้อหา คือ 1. ขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฏหมายกำหนด 2. ขับรถในขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้รับอันตรายสาหัสและทรัพย์สินเสียหาย 3. ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส

ย้อนเหตุการณ์คดีนี้เกิดเหตุเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2562 เวลาประมาณ 23.30 น. เกิดเหตุรถชนกันที่ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก โดยในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ดินแดง พบรถยนต์เบนซ์ ทะเบียน บฮ-789 กทม.ของนายสมชาย แต่ไม่พบตัวคนขับเนื่องจากถูกนำส่งโรงพยาบาล เพราะได้รับบาดเจ็บ และพบ พ.ต.ท.จตุพร งามสุชวิชชากุล รอง ผกก.สอบสวน กก.2 บก.ป. เสียชีวิตอยู่ในรถยนต์ ยี่ห้อซูซูกิ สวิฟ ทะเบียน 2 กก-3653 เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่า ยังมีนางนงนาฏ งามสุวิชชากุล ภรรยา และบุตรสาวอายุ 12 ปี ซึ่งนั่งโดยสารมาด้วย ได้รับบาดเจ็บ นำตัวส่งโรงพยาบาล ต่อมานางนงนาฏได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์

จากการสอบสวน ตำรวจทราบว่า นายสมชายได้ขับรถเบนซ์วิ่งมาจาก ถนนพุทธมณฑลสาย 3 จะไปถนนพุทธมณฑลสาย 2 เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุบริเวณขับรถล้ำเข้าไปในช่องเดินรถของ พ.ต.ท.จตุพร ที่วิ่งมาจากถนนพุทธมณฑลสาย 2 กำลังมุ่งหน้าไป ถนนพุทธมณฑลสาย 3 จึงได้พุ่งชนกันอย่างแรง โดยนายสมชายนั้น ได้ดื่มเบียร์มาจากสนามไดร์ฟกอล์ฟก่อนขับรถเบนซ์คันเกิดเหตุ ผลตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 260 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

นายสมชายให้การรับสารภาพทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาล ได้รับการประกันตัวด้วย วงเงิน 200,000 บาท และยินยอมที่จะเยียวยาชดใช้ค่าเสียหาย 45 ล้านบาท ให้กับครอบครัวของนายตำรวจผู้เสียชีวิต ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงลูกสาวคนโตและลูกสาวคนเล็ก

คดีนี้ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดตลิ่งชันเดิม) พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.291, 300 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ม.43 (2) (4) , 67 วรรคหนึ่ง ,152 ,157, 160 ตรี วรรคสาม วรรคสี่ อันการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานขับรถในขณะเมาสุราฯ ซึ่งเป็นบทหนักสุด ให้จำคุก 6 ปี และปรับ 200,000 บาท โดยจำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี พร้อมปรับ 100,000 บาท รวมทั้งมีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจำเลย และสั่งห้ามจำเลยดื่มสุรา-เบียร์ หรือเครื่องดื่มมึนเมาทุกชนิดด้วย

อย่างไรก็ตามศาลพิเคราะห์ตามรายงานสืบเสาะแล้วโทษจำคุกจำเลยให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี และให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 8 ครั้ง ภายใน 2 ปี กับทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ มีกำหนด 48 ชั่วโมง ภายเวลา 1 ปี ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง