เมื่อเทคโนโลยีและสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทักษะและความรู้ในห้องเรียนไม่เพียงพอสำหรับโลกการทำงานจริง องค์กรจึงต้องการบุคลากรที่คิดวิเคราะห์ ปรับตัวได้ และมีทักษะรอบด้าน การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง อาจกลายเป็นหัวใจของการศึกษายุคใหม่ ช่วยเติมเต็มความรู้ด้วยทักษะสำคัญ เช่น การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม ความคิดสร้างสรรค์ และการสื่อสาร เพื่อให้นักศึกษาเติบโตอย่างมั่นใจและพร้อมรับมือความท้าทายในโลกยุคใหม่อย่างมีศักยภาพ
เอสซีจี จึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินหน้ายกระดับการพัฒนาทักษะนักศึกษาสู่การเป็น “Future Workforce” หรือบุคลากรรุ่นใหม่คุณภาพ ที่พร้อมขับเคลื่อนอนาคตของประเทศ ผ่านโครงการ Possibilities Space: Shaping Future Workforce ซึ่งออกแบบมาเพื่อเป็น “สนามแห่งโอกาส” ให้นักศึกษาได้เรียนรู้และเติบโตผ่านประสบการณ์ตรง ทั้งการฝึกงานและสหกิจศึกษาในรูปแบบ Experiential Learning ที่ผสานองค์ความรู้เชิงวิชาการเข้ากับการลงมือแก้ไขโจทย์จริงของภาคธุรกิจ
โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญอย่าง Smart Living และ ESG (Environment, Social and Governance) เพื่อพัฒนาทักษะด้านนวัตกรรม การคิดเชิงธุรกิจ และการทำงานร่วมกันข้ามสาขาวิชา พร้อมเติบโตสู่การเป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่สามารถขับเคลื่อนองค์กรและสังคมให้เดินหน้าอย่างยั่งยืนในอนาคตที่ท้าทาย

‘ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “SCG เชื่อว่า ‘คน’ คือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนองค์กรและประเทศสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน คนรุ่นใหม่เป็นคนมีของ มีพลัง และมองหาเวทีปล่อยพลัง ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของเอสซีจีในฐานะ ‘องค์กรแห่งโอกาส’ ที่เปิดพื้นที่ให้คนได้ลองคิด ลองทำ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ขับเคลื่อนองค์กรให้ทันโลกที่เปลี่ยนไว โครงการนี้จึงเป็นเวทีให้นักศึกษาได้สัมผัสประสบการณ์ทำงานจริง พัฒนาทักษะที่จำเป็น และนำเสนอไอเดียพัฒนานวัตกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่อาจต่อยอดได้จริง ขอบคุณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ให้เอสซีจีมีส่วนร่วมพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์โลกการทำงาน ไม่ใช่แค่ฝึกงานหรือสหกิจศึกษา แต่เป็นการปูทางสู่การสร้าง Future Workforce บุคลากรคุณภาพที่จะร่วมสร้างอนาคตของประเทศไปด้วยกัน”

ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ SCG ในโครงการนี้สอดคล้องกับแนวทางของธรรมศาสตร์ ที่มุ่งสร้างการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงอย่างรอบด้าน ให้นักศึกษาไม่เพียงมีความรู้ทางวิชาการ แต่ยังมีทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานจริง การได้ลงมือทำกับโจทย์ธุรกิจจริงขององค์กรชั้นนำ เป็นโอกาสล้ำค่าที่จะช่วยให้นักศึกษามีความพร้อมทั้งด้านความคิด การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของบัณฑิตยุคใหม่”
โครงการในปีนี้ที่นักศึกษาได้ร่วมแก้โจทย์ด้าน Smart Living และ ESG (Environment, Social and Governance) ผ่านการเรียนรู้แบบลงมือทำ (Learning by Doing) ตั้งแต่การวิจัย พัฒนาแนวคิด ออกแบบต้นแบบ ไปจนถึงการนำเสนอผลงานในเวที Final Pitching ต่อผู้บริหาร SCG และคณาจารย์ โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด “องค์กรแห่งโอกาส” ที่เปิดเวทีให้นักศึกษาได้พัฒนาทักษะด้านนวัตกรรม การคิดเชิงธุรกิจ และการทำงานข้ามสาขาวิชา พร้อมเติบโตเป็น Future Workforce ที่มีความพร้อม ขยายขีดความสามารถ และร่วมขับเคลื่อนอนาคตของประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับองค์กร มหาวิทยาลัย และสังคม
นวัตกรรมที่นักศึกษาได้คิดค้น มีความน่าสนใจและมีความหลากหลายทางด้านปัญหาที่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างยิ่ง ได้แก่ นวัตกรรม แจ้งเตือนไฟฟ้าลัดวงจรและตรวจวัดค่าไฟฟ้า อุปกรณ์ภายในอาคารผ่านระบบ Link และบันทึกผ่านระบบ Core box, นวัตกรรม SNOO หมอนข้างอัจฉริยะ เพื่อบรรเทาอาการปวดประจำเดือน โดยผสานเทคโนโลยี AI Sensor และ ระบบ IOT รองรับสรีระการนอนอย่างเหมาะสม, นวัตกรรม Indoor Air Quality: Green Guard ผลิตภัณฑ์ ฟิลเตอร์กรองอากาศจากเส้นใยผักตบชวา (Water Hyacinth Fiber Filter), นวัตกรรม Indoor Air Quality System รวม 3 ฟังก์ชัน ไว้ในเครื่องเดียว [ เครื่องฟอกอากาศ, เครื่องดูดความชื้นพร้อม UVC LED, ระบบ self cleaning ยืดอายุฟิลเตอร์กรอง, นวัตกรรม “Gas Shield – ระบบปิดแก๊สอัตโนมัติ ระบบวาล์วแบบควบคุมด้วย มอเตอร์ เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันควบคุมระยะไกล มีเซ็นเซอร์ตรวจจับการรั่วและการใช้งานเตา พร้อมระบบแจ้งเตือนและปิดแก๊สอัตโนมัติหากไม่มีการใช้งานจริง
โดยนวัตกรรมที่ได้รับรางวัลได้แก่
รางวัลชนะเลิศ : Smart Home Technology: นวัตกรรม “Gas Shield – ระบบปิดแก๊สอัตโนมัติ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 : Smart Home Technology: SNOO หมอนข้างอัจฉริยะ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 : Indoor Air Quality: Green Guard ผลิตภัณฑ์ ฟิลเตอร์กรองอากาศจากเส้นใยผักตบชวา (Water Hyacinth Fiber Filter)

‘อาทิตย์ ชีวชัชวาล’ Product Portfolio Manager, SCG Smart Living Business กล่าวว่า “โครงการนี้เปิดโอกาสให้น้อง ๆ ได้ใกล้ชิดกับภาคธุรกิจจริง ได้คิดในมุมที่เราอาจไม่ถนัด เช่น การผสาน ESG กับแนวคิดอย่างผักตบชวาให้เข้ากับธุรกิจ น้อง ๆ ยังได้บูรณาการทักษะข้ามคณะ ซึ่งช่วยให้มุมมองทางธุรกิจครบขึ้น เข้าใจลูกค้ามากขึ้น เช่น บางกลุ่มตั้งราคาสินค้าต่ำ ซึ่งในมุมธุรกิจเรามองเรื่องการสร้างกำไร แต่ก็น่าสนใจเพราะสะท้อนแนวคิดใหม่ ๆ โครงการนี้ทำให้น้องเห็นความสำคัญของการวางโครงสร้างแบรนด์ที่สมเหตุสมผลและเรียนรู้ว่าการทำธุรกิจในยุคนี้ต้องมีอะไรให้ผู้บริโภคมากกว่าการขายสินค้า”

‘ภรปภา อัจฉรานุกูล’ Project Director, SCG Smart Living Business กล่าวว่า “เด็กรุ่นใหม่ไม่มีข้อจำกัดด้านความคิด เข้าถึงข้อมูลง่าย โครงการนี้ช่วยทำให้สิ่งที่เขาคิดชัดเจนขึ้น และต่อยอดให้เป็นนวัตกรรมจริง จากไอเดียที่รักกลายเป็นผลงานที่จับต้องได้ ความท้าทายคือการทำงานร่วมกันของน้อง ๆ จากหลากหลายคณะ ซึ่งตอนแรกก็ต้องปรับตัวกันพอสมควร แต่สุดท้ายก็ลงตัว เขาเรียนรู้กันและกัน ทำให้เนื้องานกลมกล่อมขึ้น และได้ประสบการณ์ที่เกินกว่าการเรียนในห้องเรียน”

‘ดร. ปฏิมา สินธุภิญโญ’ Associate Director, Sustainability Office กล่าวว่า “แม้บางคนยังไม่เข้าใจ ESG อย่างลึกซึ้ง แต่เขารู้ว่ามันใกล้ตัว ทุกโปรเจกต์ที่น้องคิด เช่น เรื่องพลังงาน ฝุ่น หรือไฟป่า ล้วนเริ่มต้นจากปัญหาสิ่งแวดล้อม โครงการนี้ช่วยให้เขาเห็นว่า ESG ไม่ใช่แค่เรื่องของธุรกิจ แต่คือโอกาสในการแก้ปัญหาของโลก ถ้าเขาเข้าใจว่า ESG คือจุดเริ่มต้น ไม่ใช่แค่ส่วนเสริม เขาจะสามารถใช้ความสามารถที่มี แมทช์กับ Pain Point และสร้างผลลัพธ์ที่มีความหมายต่อโลกและธุรกิจ”

‘ธนุส ผะอบแสง’ Senior Associate Director – Professional Services, SCG Digital กล่าวว่า “Green Innovation เป็นประเด็นที่ทั้งองค์กรและผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้น มันไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ โครงการนี้ช่วยให้น้องเห็นว่าการบูรณาการนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมสามารถเพิ่มคุณค่าให้สินค้าและบริการได้จริง ส่วนการสอนเรื่อง Digital Innovation ความท้าทายคือทำให้ข้อมูลที่ซับซ้อนเข้าใจง่าย เพราะน้องเข้าถึงข้อมูลได้มากอยู่แล้ว เราจึงต้องย่อยเนื้อหา และใช้เครื่องมือทันสมัย เช่น AI เพื่อให้เขาเห็นว่าการแปลงไอเดียให้เป็นจริงได้เร็วและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร ที่สำคัญ ต้องพาน้องจาก ‘กระดาษ’ สู่โลกจริง เพราะเมื่อเจอสถานการณ์จริง ตัวเลขหรือทฤษฎีอาจไม่พอ ต้องเข้าใจปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อธุรกิจด้วย”

นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ Possibilities Space: Shaping Future Workforce ต่างมองว่าโครงการนี้เปิดโลกการเรียนรู้และให้ประสบการณ์ที่ล้ำค่ากว่าการฝึกงานแบบเดิม ด้วยความเชื่อมั่นในมาตรฐานของ SCG และโอกาสที่จะได้ทำงานกับคนหลากหลายสาขาวิชา จึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ เพื่อเรียนรู้นอกเหนือจากสิ่งที่ได้จากห้องเรียน การได้ลองทำงานจริง ลงมือแก้ปัญหา และทำงานเป็นทีมกับเพื่อนต่างคณะ เปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ ๆ ทั้งยังได้ฝึกทักษะเพิ่มเติม เช่น การวางแผนธุรกิจ การเงิน การตลาด และการสื่อสารอย่างมืออาชีพ
สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือการต้องค้นคว้าและอัปสกิลด้านที่ตนเองไม่ถนัด เช่น เทคโนโลยีหรือองค์ความรู้เชิงธุรกิจ ซึ่งทำให้รู้ว่าโลกของการทำงานต้องการการเรียนรู้ที่ต่อเนื่อง และความร่วมมือของคนหลากหลายความเชี่ยวชาญ โครงการนี้จึงไม่เพียงช่วยให้ค้นพบศักยภาพของตนเองที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน แต่ยังสร้างความมั่นใจในการนำเสนอไอเดียต่อยอดสู่การทำงานจริง อีกทั้งยังเป็นโมเดลการฝึกงานที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้สัมผัสโลกการทำงานจริง ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในสถาบันการศึกษาอื่นได้หลากหลายรูปแบบ
โครงการ Possibilities Space: Shaping Future Workforce ไม่เพียงเป็นเวทีสะท้อนศักยภาพของนักศึกษา แต่เปรียบเสมือน “สนามแห่งโอกาส” ที่เปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่ได้ออกวิ่ง ทดสอบแรงกาย แรงใจ และแรงคิดของตนเอง ผ่านการแข่งขันกับโจทย์จริงของโลกการทำงาน ในสนามแห่งนี้ นักศึกษาไม่ได้เป็นเพียงผู้เรียนรู้ แต่เป็นผู้ลงมือทำ ได้ลองผิด ลองถูก และค้นพบศักยภาพที่อาจซ่อนอยู่ภายใน ได้ฝึกฝนทักษะรอบด้าน ตั้งแต่การคิดนวัตกรรม การวางแผนธุรกิจ ไปจนถึงการสื่อสารและทำงานร่วมกัน ทั้งหมดนี้คือการเตรียมความพร้อมให้พวกเขาก้าวสู่โลกจริงอย่างมั่นใจ พร้อมขับเคลื่อนอนาคตด้วยความรู้ ประสบการณ์ และความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง


















