องค์กรภาคประชาสังคม 66 องค์กรออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลลาวดำเนินการสืบหาผู้สูญหายกรณีการบังคับสูญหาย ‘สมบัด สมพอน’ พร้อมคืนความยุติธรรมและเยียวยาครอบครัวผู้สูญหาย ชี้ทางการลาวล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ
13 ธันวาคม 2565 2 วันก่อนครบรอบ 10 ปีการบังคับสูญหาย ‘สมบัด สมพอน’ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2555 องค์กรภาคประชาสังคม 66 องค์กรณ์ร่วมออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลลาวระบุชะตากรรมและตำแหน่งของผู้สูญหายให้สำเร็จ หลังเรียกร้องมาแล้วหลายครั้งในทศวรรษที่ผ่านมา โดยสมาชิกในองค์การสหประชาชาติ (UN) หลายประเทศได้แสดงความกังวลไปยังรัฐบาลลาวหลายครั้งและเรียกร้องให้รัฐบาลลาวดำเนินการสืบสวนสอบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการก่ออาชญากรรมร้ายแรงภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วน
ก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคม 2557 ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติเรียกร้องให้รัฐบาลลาวเปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าการสอบสวนคดีสูญหายกับครอบครัวของสมบัด โดยขอความช่วยเหลือจากนานาชาติในการระบุที่อยู่และชะตากรรมของผู้สูญหาย ซึ่งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 หลังจากการพิจารณารายงานเบื้องต้นของประเทศลาวภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติมองว่ารัฐบาลลาวให้ข้อมูลไม่เพียงพอต่อการสอบสวนคดีของสมบัด และเรียกร้องให้รัฐบาลลาวเพิ่มความพยายามในการสอบสวนอย่างละเอียด โปร่งใส และเป็นกลาง แต่รัฐบาลลาวยังคงเพิกเฉย พร้อมออกถ้อยแถลงที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งนานาชาติยังมองว่าขาดเจตจำนงค์การค้นหาตัวสมบัดให้พบได้
แถลงการณ์ระบุว่าทางการลาวล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติตามพันธกรณีของกฎหมายระหว่างประเทศในการสอบสวนการสูญหายของสมบัด ตลอดจนล้มเหลวที่จะนำผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิจารณาคดีต่อหน้าศาลพลเรือน รวมถึงล้มเหลวในการปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมานและการทารุณกรรมอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม การปฏิบัติหรือการลงโทษที่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งประเทศลาวเป็นรัฐภาคี แม้ว่าจะยังไม่ได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการถูกบังคับสูญหาย (ICPPED) ในปี 2551 แต่ในกฎหมายระหว่างประเทศมีข้อผูกมัดที่กำหนดให้ลาวจะต้องไม่ทำการใด ๆ ขัดต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายของสนธิสัญญา
นอกจากนี้แถลงการณ์ยังระบุถึงผลกระทบจากการบังคับสูญหายที่ส่งผลกระทบทำให้ญาติของสมบัดได้รับความทุกข์ทรมานด้วยเช่นกัน โดยคณะทำงานของสหประชาชาติว่าด้วยการสูญหายโดยถูกบังคับอย่างไม่สมัครใจได้รับทราบว่าญาติของผู้สูญหายยิ่งรู้สึกทรมาณเมื่อถูกการปฏิเสธไม่ได้รับรายงานข้อมูลความคืบหน้าในการสอบสวนและชะตากรรม ตลอดจนตำแหน่งของผู้สูญหายนอกจากนี้อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED) ยังกำหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องทำทุกทางให้มั่นใจได้ว่าสมาชิกในครอบครัวจะได้รับแจ้งความคืบหน้าและผลลัพธ์การสอบสวน พร้อมทั้งมาตรการทั้งหมดที่ทางการใช้ในการค้นหาด้วย
แถลงการณ์นี้ประกาศชัดว่าจะยืนหยัดข้างครอบครัวของสมบัดและเหยื่อรายอื่น ๆ ของการบังคับสูญหายในลาวมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยย้ำถึงการเรียกร้องต่อทางการลาวให้ระบุชะตากรรมหรือตำแหน่งของเหยื่อจากการถูกบังคับสูญหาย และระบุตัวผู้กระทำความผิดในคดีอาชญากรรมร้ายแรงนี้ พร้อมการเยียวยา ชดใช้ค่าเสียหายแก่เหยื่ออย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งกระบวนการการให้สัตยาบันอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED) อย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆ และนำกฎหมายดังกล่าวไปใช้ในกฎหมายของประเทศ
สมบัด สมพอน เป็นนักพัฒนาสังคมที่ต้องการแก้ปัญหาความยากจนของคนลาว เขาสอนเทคนิคการพัฒนาผลผลิตทางการเกษตรให้กับชาวบ้าน และก่อตั้งองค์กรพัฒนาเอกชนชื่อ PADETC เพื่อจัดอบรมอาสาสมัครเยาวชนหนุ่มสาว จากความคิดส่งเสริมการพัฒนาทำให้เขาได้รับรางวัลแมกไซไซในปี 2548
ช่วงก่อนการสูญหายสมบัด ได้เข้าร่วมงาม Asia-Europe Peoples’s Forum ที่เวียงจันทน์ เป็นการประชุมของภาคประชาสังคมจากหลายประเทศ ซึ่งสมบัดได้นำปัญหาของประเทศลาวไปพูดในงานด้วย จึงอาจเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการลักพาตัวโดยรัฐบาล
มีรายงานการพบเห็นสมบัด สมพอนครั้งสุดท้ายที่ด่านตำรวจบนถนนในเวียงจันทน์ของเย็นวันที่ 15 ธันวาคม 2555 ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่าตำรวจพยายามหยุดรถของสมบัด และภายในไม่กี่นาทีต่อมามีบุคคลนิรนามเข้ามาหาเขาต่อหน้าตำรวจและบังคับให้เขาขึ้นรถอีกคันหนึ่ง นอกจากนี้บุคคลนิรนามที่มาถึงภายหลังได้ขับรถของสมบัดออกไปจากจุดเกิดเหตุ ซึ่งการปรากฏตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์ลักพาตัวสมบัดเป็นหลักฐานเบื้องต้นที่บ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนร่วมกับการหายตัวไปของสมบัด ทำให้กรณีดังกล่าวได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหาย










