Hybrid exhibition ทางออกของวงการภาพยนตร์ในยุคโควิด-19 ลบรอยร้าวระหว่างค่ายและโรงหนัง

Hybrid exhibition ทางออกของวงการภาพยนตร์ในยุคโควิด-19 ลบรอยร้าวระหว่างค่ายและโรงหนัง

FEATURES

การจัดจำหน่ายหนังออนไลน์:  ความหวังใหม่ของผู้สร้าง หรือ ภัยคุกคามของโรงหนัง

สำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในหลายประเทศ ปี 2019 คือปีที่ดีในรอบหลายๆ ปี รายได้จากการฉายภาพยนตร์ตลอดทั้งปีดีขึ้นกว่าปีก่อนๆ  ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา ที่รายจากการฉายหนังโรงสูงถึง 11.4 พันล้านเหรียญ หรือประเทศจีนที่ปิดปี 2019 ด้วยยอดรายได้บ็อกออฟฟิศกว่า 9.3 พันล้านเหรียญไล่จี้สหรัฐตามมาติด ๆ  ส่วนประเทศเกาหลีใต้ ที่ภาพยนตร์เรื่อง Parasite ประกาศศักดาหนังเกาหลีไปทั่วโลก ยอดรวมบ็อกซ์ออฟฟิศตลอดปี 2019 มีจำนวนถึง 1.6 พันล้านเหรียญ

ดังนั้น ปี 2020 จึงถูกคาดหวังเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเป็นอีกปีหนึ่งอุตสาหกรรมหนังยังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง 

อย่างไรก็ตามความหวังก็พังทลายภายหลังจากที่โรคโควิด 19 ได้ระบาดไปทั่วโลกตั้งแต่เปิดปี 2020 เป็นต้นมาส่งผลให้กิจกรรมของหลายภาคธุรกิจต้องหยุดชะงักอุตสาหกรรมภาพยนตร์เองก็เป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง  หลายฝ่ายเริ่มทำนายความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากสถานการณ์ของโรคไม่ดีขึ้น เช่นในประเทศจีน มีการคาดหมายกันว่า รายได้จาการขายบัตรเข้าชมในปีนี้จะลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

สำหรับตลาดหนังที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างอเมริกา ซึ่งตอนนี้กลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชี้อและเสียชีวิตสูงสุดในโลกไปแล้วนั้น รายได้รวมบ็อกซ์ออฟฟิศของปีนี้อาจจะลดลงเหลือแค่ 6.6 พันล้านเหรียญ (คนละเรื่องกับปีที่แล้วที่ได้ถึง หนึ่งหมื่นหนึ่งพันล้านเหรียญ)  ส่วนเกาหลีใต้ แม้จะยังไม่มีการประเมินค่าเสียหายอย่างจริงจัง แต่ก็เชื่อกันว่ารายได้รวมปีนี้จะตกต่ำที่สุดในรอบ 16 ปีเลยทีเดียว

โรงภาพยนตร์ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เต็มเหนี่ยว

การจัดจำหน่ายหนังออนไลน์ : ทางเลือกในยามวิกฤต

ท่ามกลางวิกฤตที่ยังหาทางออกไม่เจอ  บริษัทภาพยนตร์หลายแห่ง เลือกที่จะถอดหนังออกจากโปรแกรมฉาย แล้วรอจังหวะให้สถานการณ์คลี่คลายก่อนจึงค่อยคิดกันอีกที บางบริษัทเลื่อนหนังของตัวเองไปฉายปีหน้าเลยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม มีบริษัทภาพยนตร์สองบริษัทจากสองประเทศ ตัดสินใจสวนกระแส ด้วยการนำหนังฟอร์มใหญ่ออกฉายในพื้นที่ที่เคยถูกดูแคลนว่าเหมาะกับหนังที่ไม่สามารถหาทางจัดจำหน่ายในโรงภาพยนตร์ได้ อย่างช่องทางออนไลน์ 

บริษัทที่ว่าได้แก่บริษัทยูนิเวอร์แซลแห่งประเทศอเมริกาที่นำภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Troll World Tour ซึ่งมีกำหนดฉายโรงทั่วประเทศในเดือนเมษายน ออกฉายบนแพลทฟอร์ม Premium Video On Demand ซึ่งผู้ชมจะต้องจ่ายค่าชมก่อนถึงจะสามารถดาวน์โหลดหนังเพื่อรับชมในช่วงเวลาที่กำหนดได้  ส่วนอีกบริษัทหนึ่งคือ Huanxi Media  แห่งประเทศจีน ที่ตัดสินใจถอดหนังที่ได้รับการคาดหมายว่าจะทำรายได้ถล่มทลายในช่วงตรุษจีนเรื่อง Lost In Russia ออกจากโปรแกรมการฉาย แล้วขายสิทธิ์ให้แก่ บริษัท Bytedance ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มออนไลน์ที่โด่งดังของจีนเจ้าของแอพ TikTok ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลกขณะนี้ ด้วยจำนวนเงินที่สูงถึง 85 ล้านเหรียญ โดย Bytedance ได้นำหนังเรื่องนี้ออกฉายแบบไม่เก็บค่าชม แต่มีเงื่อนไขว่า ผู้ชมต้องโหลดแอพของบริษัทเสียก่อน

แม้ว่าหนังทั้งสองเรื่องจะฉายด้วยรูปแบบที่ต่างกันแต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นเหมือนกันกล่าวคือต่างประสบความสำเร็จอย่างงดงามทางด้านรายได้  โดย Troll World Tour เปิดตัวเป็นอันดับหนึ่งบทแพล็ทฟอร์มสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ของอเมริกาอย่าง Amazon Prime, Comcast, Apple TV, Vudu, YouTube และ DirecTV Now โดยหลังออกฉายได้ 19 วัน มียอดผู้ชมแล้ว 3-5 ล้านคน ว่ากันว่ารายได้ของหนังเรื่องนี้จากการฉายบนช่องทาง Premium VOD สูงกว่า 100 ล้านเหรียญ ขณะที่ภาพยนตร์เรื่อง Lost in Russia  ไม่เพียงทำรายได้ให้บริษัท Huanxi เจ้าของหนัง จากกค่าสิทธิ์กว่า 90 ล้านเหรียญ (ต้นทุนของหนังคือ 48 ล้านเหรียญ) เท่านั้น  บริษัท Bytedance ที่ยอมจ่ายค่าสิทธิ์แบบบ้าระห่ำ ก็ได้รับผลประโยชน์อย่างประเมินค่าไม่ได้เช่นกัน เมื่อมีประชาชนกว่า 600 ล้านคน ดาวน์โหลดแอพเพื่อรอชมภาพยนตร์แบบฟรี ๆ ทันทีที่ทราบข่าวว่า Lost in Russia จะเปิดตัวบนช่องทางนี้ 

ดูหนังออนไลน์สร้างแรงสั่นสะเทือนถึงโรงภาพยนตร์

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่จะมีได้เฮกับการตัดสินใของบริษัทยูนิเวอร์แซลและ Huanxi เพราะความสำเร็จจากการจัดจำหน่ายทางออนไลน์ย่อมหมายถึงความเปราะบางของโรงหนัง

ในอนาคตไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นของ Troll World Tour และ Lost in Russia จะทำให้มีผู้เดินรอยตามมากแค่ไหนและถ้าเป็นเช่นนั้นโรงภาพยนตร์จะอยู่รอดได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้โรงภาพยนตร์จึงต้องออกแอคชั่นเพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดกรณีแบบนี้อีกโดยเมื่อไม่นานมานี้ค่ายหนังยักษ์ใหญ่แห่งอเมริกาสองค่ายได้แก่ AMC  (เปรียบเสมือนเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ของบ้านเรา) และ Regal (เปรียบได้กับเครือ SF Cinema) ประกาศแบนหนังจากค่าย Universal เนื่องจากไม่พอใจที่ยูนิเวอร์แซล นำหนังเรื่อง Troll World Tour ออกฉายทางออนไลน์ทั้งที่โรงหนังกำลังปิดอยู่ แม้ว่าตัวแทนของบริษัทยูนิเวอร์แซลพยายามจะอธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องเลือกฉายหนังบนแพลทฟอร์มวีโอดี รวมถึงให้คำมั่นว่าจะไม่ฉายหนังฟอร์มใหญ่อย่าง No Time To Die และ Fast and Furious ภาค 9 แบบเดียวกับ Troll World Tour แน่นอน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทำให้ โรงหนังเครือใหญ่ทั้งสองเครือพอใจได้  

ส่วนบริษัท Huanxi Media แม้ว่าจะยังไม่ได้รับกระแสเชิงลบจากโรงหนัง  แต่การที่โรงหนังต้องสูญเสียหนังที่น่าจะทำรายได้มากถึง 346 ล้านเหรียญไปให้กับบริษัทแพลทฟอร์มออนไลน์ถ้าหากไม่เกิดวิกฤติไวรัสเสียก่อน  ย่อมทำให้ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์หลายโรงอยู่กันไม่เป็นสุขแน่ ยิ่งเมื่อได้รับทราบข่าวล่าสุดว่า บริษัท Huanxi กับ Bytedance ได้บรรลุข้อตกลงฉบับใหม่ที่จะร่วมกันผลิตภาพยนตร์เพื่อออกฉายบนช่องทางโรงหนังออนไลน์ที่ทั้งสองบริษัทกำลังร่วมพัฒนากันอยู่ เท่ากับว่า โรงภาพยนตร์ที่เคยเป็นรายได้หลักของผู้ผลิตภาพยนตร์ อาจหมดความหมายลงถ้า “โรงหนังออนไลน์” เกิดได้รับความนิยมแทน  เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหวังของจีนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศที่ทำรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศสูงที่สุดในโลกแทนประเทศอเมริกาก็เป็นได้เพียงแค่ฝันกลางวัน

Hybrid exhibition ความเป็นไปได้หลังวิกฤติโรคร้าย

โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าความขัดแย้งระหว่างโรงหนังกับค่ายหนังเรื่องการจัดจำหน่ายออนไลน์ คงหาข้อยุติลงได้ในเวลาไม่นาน เนื่องจากในสภาวะที่โรงภาพยนตร์จำเป็นต้องหารายได้ชดเชยจากที่ต้องสูญเสียไประหว่างที่ต้องปิดตัวระหว่างที่เกิดวิกฤตไวรัส คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับฉายหนังฟอร์มใหญ่จากทุกค่าย โดยเฉพาะจากค่ายยูนิเวอร์แซลที่มีหนังเรื่อง No Time to Die กับ Fast and Furious 9  อยู่ในมือ

ขณะเดียวกัน ค่ายหนังเองก็ยอมรับว่า ไม่ใช่หนังทุกเรื่องที่เหมาะกับการฉายแบบออนไลน์ไปเสียหมด อย่างน้อยหนังที่ฟอร์มใหญ่ที่ต้องพึ่งพาระบบเสียง ระบบภาพที่สมบูรณ์แบบก็ต้องพึ่งโรงภาพยนตร์อยู่ดี  ดังนั้นสิ่งที่เราอาจได้เห็น ในอนาคตอันใกล้ คือการผสมผสานรูปแบบการจัดฉายภาพยนตร์ขึ้นมา อาจเรียกได้ว่าเป็น hybrid exhibition โดยโรงหนังเองก็อาจพัฒนาโปรแกรมโรงหนังออนไลน์ของตัวเอง เพื่อเปิดโอกาสให้หนังขนาดกลางหรือเล็กที่คนอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านมาที่ดูโรงสามารถดูหนังอยู่ที่บ้านได้ ขณะเดียวกันก็พัฒนาระบบการฉายทั้งภาพและเสียงเพื่อรองรับหนังฟอร์มใหญ่ ปิดโอกาสที่ไม่ให้แพลทฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ ช่วงชิงหนังเหล่านี้ไปฉายในพื้นที่ตัวเองได้ เนื่องจากระบบภาพและเสียงไม่ดีเท่า ในอนาคตการแข่งขันระหว่างโรงหนังตามขนบกับพื้นที่การฉายแบบออนไลน์คงมีความเข้มข้นมากขึ้นถือเป็นความท้าทายที่น่าจับตามองสำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลก

แต่ไม่ว่าการจัดจำหน่ายออนไลน์จะกลายเป็นทางเลือกใหม่ของคนสร้างหนังหรือเป็นภัยคุกคามของโรงหนังคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่ว่าอย่างไรหนังจะยังคงทำหน้าที่รับใช้ผู้คนในฐานะเครื่องมือสร้างความบันเทิงต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง

อ้างอิง

https://www.theverge.com/2020/4/28/21240637/amc-theaters-universal-trolls-world-tour-disney-warnermedia-digital-streaming

https://variety.com/2020/film/asia/coronavirus-china-lost-in-russia-online-release-1203478139/

https://variety.com/2020/film/asia/korea-box-office-historic-year-low-1203535326/

https://www.facebook.com/filmclubthai/photos/a.102305664756903/131535038500632/?type=3&theater

แท็กที่เกี่ยวข้อง
Writerภาณุ
ภาณุ อารีจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และภาพนิ่งในปี 2538 จากนั้นได้ทำงานเป็นช่างบันทึกเสียงให้กับภาพยนตร์ไทย 2 เรื่องได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง คู่กรรม ภาค 2 และ เพื่อเพื่อน เพื่อฝัน เพื่อวันเกียรติยศ ก่อนที่จะทำงานเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิหนังไทย ทำหน้าที่ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวภาพยนตร์ไทยในอดีต

ขณะเดียวกัน ภาณุ ได้ผลิตภาพยนตร์สารคดีขนาดสั้นและยาวหลายเรื่อง โดยในจำนวนนี้รวมถึงภาพยนตร์สารคดีสั้นเรื่อง “กาลครั้งหนึ่ง” (2543) ได้รับเลือกเข้าฉายที่เทศกาลภาพยนตร์ฮ่องกง ปี 2000 ภาพยนตร์เรื่อง “น้ำใต้ท้องเรือ” (2544) ซึ่งได้รับเลือกให้เป็น 100 หนังไทยที่คนไทยควรดู โดยหอภาพยนตร์แห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2543 ภาพยนตร์สารคดีขนาดยาว เรื่อง มูอัลลัฟ (2551) และ เบบี้ อาราเบีย (2553) ซึ่งทั้งสองเรื่อง

ภาณุได้ร่วมกำกับกับ ก้อง ฤทธิ์ดี และกวีนิพนธ์ เกตุประสิทธิ และได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ แวนคูเวอร์ เทศกาลภาพยนตร์สารคดียามากาตะ เทศกาลภาพยนตร์ฮาวาย เทศกาลภาพยนตร์ปูซาน เป็นต้น

ปัจจุบันภาณุ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศ บริษัทสหมงคลฟิล์ม และเป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชา ธุรกิจภาพยนตร์ และ การผลิตภาพยนตร์สารคดี ที่ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต , มหาวิทยาลัยบูรพา ,มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ,และมหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นนักเขียนประจำอยู่ที่ Film Club

ในปี พ.ศ. 2560 ภาณุ ได้รับรางวัล ปีติสันติธรรม จากสถานบันปรีดี พนมยงค์

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง