หากถามว่าหนังในแฟรนไชส์ The Terminator เรื่องไหนดีที่สุด หลายคนคงตอบทันทีว่า Terminator 2: Judgement Day (1991) รองลงมาคือ The Terminator (1984) ซึ่งได้รับความนนิยมไม่ห่างจากกันมาก เพราะทั้ง 2 เรื่องต่างเป็นหนังครบเครื่องทุกรสชาติ มีทั้งความสนุก ความลุ้นระทึก ความสะเทือนใจ เมื่อหยิบมาดูเมื่อไหร่ก็ยังสัมผัสถึงความรู้สึกนั้นได้อยู่ แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี
ในขณะเดียวกัน หนังที่ถูกสร้างตามหลัง T2 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็น Terminator 3: Rise of the Machines (2003), Terminator Salvation (2009) และ Terminator: Genisys (2015) จะไม่ค่อยถูกหยิบยกขึ้นมาชื่นชมเท่าไหร่ เพราะ… มันแทบไม่มีจุดไหนสามารถทัดเทียมหนัง 2 เรื่องแรกได้ ทั้งความสนุก ความระทึกขวัญตื่นเต้น และความสดใหม่
นอกจากนั้น T1 และ T2 ยังมีสิ่งที่ 3 เรื่องหลังไม่มีคือผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน ผู้ปลุกปั้นหนังเรื่องนี้มากับมือ พอ T2 ประสบความสำเร็จขั้นสุด เขาก็หันไปพัฒนาของเล่นใหม่ในหนังเรื่องอื่น และแทบไม่เข้ามาเกี่ยวข้องในการสร้างหนังชุดนี้อีกเลย ผลที่ออกมาคือแฟรนไชส์นี้ออกทะเลกันจนกู่ไม่กลับ พอหนักเข้าเลยเกิดเป็นอาถรรพ์ว่า ถ้าหนังตระกูล “ฅนเหล็ก” ไม่ได้ผลิตโดย คาเมรอน คาดการณ์ได้เลยว่าหนังจะต้องออกมาแย่แน่ๆ ในช่วงหลัง แฟนๆ และคอหนังจำนวนมากจึงปรารถนาอยากเห็นเขากลับมาสร้างหนังชุดนี้อีกครั้ง และการรอคอยก็สิ้นสุดลงเสียที เมื่อคาเมรอนตัดสินใจหยิบลูกรักกลับมาดูแลเองจนได้ใน Termiinator: Dark Fate โดยวางเรื่องราวให้เป็นหนังภาค 3 ของแฟรนไชส์อย่างเป็นทางการ และลบล้างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ใน Rise of the Machines จนถึง Genisys ออกไปจนหมด ราวกับหนัง 3 ภาคนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขายังขนเอาทีมนักแสดงชุดเดิมจากหนังภาค 2 กลับมาด้วย นำโดย อาร์โนลด์ ชวาร์ซเนกเกอร์ ยอดแอ็คชั่นฮีโร่ผู้แจ้งเกิดจากบทหุ่นยนต์จากโลกอนาคต T-800 และที่ฮือฮาคือเขาสามารถดึงตัว ลินดา แฮมิลตัน เจ้าของบท ซาร่าห์ คอนเนอร์ และ เอ็ดเวิร์ด เฟอร์ลอง ซึ่งสมัยนั้นเล่นเป็นเจ้าหนู จอห์น คอนเนอร์ กลับมาแสดงจนได้
จริงๆ แล้วหน้าที่หลักของคาเมรอนคือการเป็นผู้อำนวยการสร้าง และเป็นคนคิดเรื่องราวเท่านั้น ไม่ได้นั่งเก้าอี้ผู้กำกับเต็มตัวแต่ปล่อยให้ ทิม มิลเลอร์ จาก Deadpool รับผิดชอบหน้าที่นั้นไป แต่เท่านี้ก็ทำให้แฟนๆ ใจสั่นเกินพอแล้ว เพราะขอแค่มีเขาที่ร่วมหัวจมท้ายกับหนังชุดนี้ด้วยก็ช่วยอุ่นใจว่า Terminator: Dark Fate จะต้องมันส์ไม่แพ้ T2 แน่นอน ในเมื่อหนังมีทุกอย่างที่แฟนๆ รุ่นเก่าและรุ่นใหม่อยากเห็นขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสด้านบวกและความน่าตื่นเต้น ในอีกด้านหนึ่ง Terminator: Dark Fate ก็มาพร้อมคำถามตัวใหญ่ว่าตัวของ คาเมรอน ยังทรงพลานุภาพอยู่จริงหรือไม่

ผู้คนต่างรู้กันดีว่า คาเมรอน เป็นคนทำหนังเกรดเอ หนังแต่ละเรื่องของเขารับประกันได้ว่าจะต้องออกมาถึงพร้อมเปี่ยมอรรถรส โดยเฉพาะหนังที่เขากำกับเอง ไม่ว่าจะเป็น Terminator ทั้ง 2 ภาค, Aliens (1986), True Lies (1994), Titanic (1997) และ Avatar (2009) ซึ่งล้วนประสบความสำเร็จในระดับตู้มต้าม เพียงแต่หนังที่เขาทำหน้าที่อำนวยการสร้างอาจไม่ประสบความสำเร็จในระดับเดียวกัน จริงอยู่ว่าที่ผ่านมาหนังเหล่านั้นมักเป็นหนังสารคดี โดยเฉพาะหนังเกี่ยวกับโลกและสิ่งแวดล้อม เป็นหนังเล็กๆ และฉายในวงจำกัด แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา Alita: Battle Angel ถือเป็นหนังบล็อคบัสเตอร์ฟอร์มใหญ่สุดที่เขาเคยอำนวยการสร้าง และกำกับโดยผู้กำกับมือดีอย่าง โรเบิร์ต ร็อดริเกซ มันมาพร้อมความคาดหวังอย่างใหญ่โตว่าจะประสบความสำเร็จในทุกระดับ และกลายมาเป็นขุมทรัพย์ก้อนใหม่ให้เขาหากินไปได้อีกนาน ปรากฏว่าแม้หนังจะยังทำเงินในระดับไม่เลว กวาดรายรับทั่วโลกไป 404 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มันอาจไม่ได้ใช้ทุนสร้างเยอะแค่ 170 ล้านดอลลาร์แล้ว แต่เมื่อหักลบกลบหนี้กับทางโรงหนัง และพิจารณาถึงงบการโปรโมท ผู้สร้างแทบจะไม่ได้กำไรกลับคืนมาเลย ซึ่งแน่นอนว่าถ้าพวกเขาคิดจะทำภาคต่อล่ะก็คงต้องพิจารณาอย่างหนักทีเดียว
และถึงแม้ คาเมรอน จะแค่อำนวยการสร้าง หนังเรื่องนั้นก็มักจะได้รับการคาดหมายถึงความยิ่งใหญ่ของเทคนิคพิเศษ เพราะนั่นคือจุดเด่นในหนังของเขา แต่ใน Alita กลับไม่สามารถทำให้ผู้คนว้าวได้อย่างติดตราตรึงใจ คนดูอาจปลื้มการเทคนิคพิเศษ การสร้างสรรค์ตัวของ อลิตา ตัวละครเอกที่ดูสมจริง แต่ถ้าถามว่า นวัตกรรมดังกล่าวสร้างความประทับใจให้ผู้คนจดจำในระยะยาวได้มากหรือไม่ คงต้องบอกว่าไม่
หันกลับมาดู Terminator: Dark Fate กันบ้าง แม้หนังจะมาพร้อมทีมงานที่ไว้ใจได้ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ออกมาเหมือนกันหลังจากปล่อยภาพนิ่ง หนังตัวอย่าง และข้อมูลแต่ละอย่าง มันดูจะไม่สามารถรับประกันได้ว่าเนื้อในของจริงจะไว้ใจได้จริงไหม ในส่วนของหนังตัวอย่างและสารคีดเบื้องหลังก็ให้ข้อมูลมากเกินไปหน่อย จนหลายคนกลัวว่าหนังฉบับฉายจริงจะไม่เหลือเซอร์ไพรซ์และความน่าตื่นเต้น (อย่างไรก็ตามหนังยังเก็บงำรูปและบทบาทของ จอห์น คอนเนอร์ ไว้เป็นทีเด็ด ซึ่งก็ต้องตามดูว่าจะออกมาเป็นอย่างไร)
อีกประเด็นคือพัฒนาการของเนื้อเรื่อง ซึ่งยังพัวพันการที่โลกอนาคตส่งหุ่นยนต์มาไล่ล่าฆ่าผู้อื่นเพื่อเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อยู่เช่นเคย ใน Terminator: Dark Fate ก็ยังเป็นเช่นนั้น แม้จะมาพร้อมหุ่นไฮเทคอย่าง Rev-9 ที่ทุกส่วนของร่างกายสามารถกลายเป็นอาวุธได้หมด แถมยังแบ่งร่างเพิ่มเป็นหุ่นอีกตัวได้ด้วย มันอาจน่าตื่นตาตื่นใจ แต่หลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ สกายเน็ต (และคนเขียนบท) จะมาพร้อมมุกใหม่ๆ พาเรื่องราวไปสู่เส้นทางใหม่ๆ บ้างเสียที เพราะเห็นอย่างนี้มาหลายภาคแล้ว หรือจุดขายอย่างเทคโนโลยี สเปเชียลเอฟเฟ็คท์ ที่หากเอามาเปรียบเทียบกันในเบื้องต้น ยังไม่มีตรงไหนสามารถสร้างความตื่นตะลึงได้เลย ยิ่งพอ T2 ถูกรีมาสเตอร์จนมีความชัดระดับ 4K แล้วนำมาฉายใหม่ในโรงภาพยนตร์ รับการมาของ Dark Fate มันยิ่งเป็นตัวเปรียบเทียบให้เห็นว่า T2 ที่อายุเกือบ 30 ปียังดูน่าทึ่งกว่าเสียอีก ต้องมาติดตามกันต่อว่าเมื่อหนังฉายจริงแล้ว คำถาม คำวิจารณ์ และการคาดคะเนเหล่านี้จะลงเอยอย่างที่คิดหรือไม่ โดยเราจะได้รู้คำตอบจริงๆ เมื่อหนังฉายอย่างเป็นทางการในวันพุธนี้เป็นต้นไป (หนังทำการตลาด เปิดฉายนอกอเมริกาก่อนเป็นเวลา 1 สัปดาห์) ซึ่งเชื่อว่าแฟนๆ คงหวังสุดใจว่ามันจะไม่ออกมาเป็นเช่นนั้น เพราะถ้าเกิด คาเมรอน เอากลับมาปั้นเองแล้วหนังยังล้มเหลว คราวนี้คงถึงวันสิ้นโลกของจริง ไม่รู้จะหวังพึ่งใครให้ปลุกชีพหนังชุดนี้ให้กลับมายิ่งใหญ่่ได้แล้วอีกแล้ว









![[ประมวลภาพ] เหนือคำบรรยายสมการรอคอย ใน “Omoinotake One Man Live in Taipei & Bangkok”](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fimages.workpointtoday.com%2Fworkpointnews%2F2025%2F12%2F18194713%2F1766062032_006495-workpointtoday.webp&w=2048&q=75)


