บทวิเคราะห์ทางออกธุรกิจโรงภาพยนตร์ เมื่อพร้อมแล้วโรงอาจจะต้องปรับราคาให้ถูกลง

บทวิเคราะห์ทางออกธุรกิจโรงภาพยนตร์ เมื่อพร้อมแล้วโรงอาจจะต้องปรับราคาให้ถูกลง

FEATURES

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขณะที่สถานการณ์โรคโควิด 19 ในประเทศจีนเริ่มดีขึ้น สวนทางกับประเทศอเมริกาที่กำลังเผชิญกับภาวะเลวร้าย บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจบันเทิงในสองประเทศได้แก่บริษัท Maoyan Entertainment ผู้ให้บริการระบบจองตั๋วภาพยนตร์ออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน และบริษัท EDO ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยทางด้านสื่อชื่อดังของอเมริกาได้ทำการสำรวจความเห็นของประชาชนในประเทศของตัวเอง ถึงความเป็นไปได้ที่จะกลับกลับเข้าโรงหนังอีกครั้ง หากวิกฤตการณ์โรคโควิด 19 คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น โดยไม่ได้นัดหมาย

สำหรับประเทศจีน ผลการสำรวจระบุว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 68 ต้องการกลับไปโรงหนังอีกครั้งหลังจากสถานการณ์ดีขึ้น โดยในจำนวนนี้ ร้อยละ 30 จะกลับไปทันทีที่โรงประกาศเปิดให้บริการ ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 33 ระบุว่าจะรอประกาศอย่างเป็นทางการจากรัฐก่อนว่าสามารถควบคุมโรคได้อย่างเด็ดขาดแล้วถึงจะกลับไปดูหนังที่ดรง และกลุ่มตัวอย่างอีกร้อยละ 29% ต้องการรออีกสักพักใหญ่หลังจากประกาศอย่างเป็นทางการจากรัฐ ถึงจะกลับไปดูหนังที่โรง

ข้ามไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาบ้าง รายงานผลการวิจัย ที่ได้จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 6,809 คน สรุปได้ว่า  70% ของกลุ่มตัวอย่างมีแนวโน้มจะกลับมาดูหนังที่โรงหลังผ่านวิกฤต แต่ในจำนวนนี้มีเพียง 25% เท่านั้นที่ยืนยันว่าจะกลับมาทันทีที่โรงเปิด ขณะที่กลุ่มตัวอย่างอีก 45 % ระบุว่า ขอรอให้วิกฤตสงบจริง ๆ อย่างน้อย 2-3 อาทิตย์ และอีก 11% ขอรอให้วิกฤตจบลง 2-3 เดือนก่อน

หากพิจารณาผลสำรวจจากบริษัททั้งสองแห่ง จะพบความคล้ายกันอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าจะอย่างไรประชาชนทั้งสองชาติคงกลับไปดูหนังที่โรงแน่นอน เพียงแต่ว่าอาจจะยังไม่กลับไปทันทีที่โรงหนังเปิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับการคลี่คลายของวิกฤต 

อย่างไรก็ดี รายงานการวิจัยจากทั้งสองสำนักมุ่งเน้นสำรวจพฤติกรรมของผู้ชมเป็นหลัก โดยปราศจากตัวแปรหลักอย่างมาตรการ “ระยะห่างทางการกายภาพ” ที่โรงภาพยนตร์ทุกโรงจะต้องยึดเป็นแนวปฏิบัติจนกว่าโรคโควิด 19 จะถูกควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลต่อความสะดวกสบายในการชมภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่างของที่นั่ง หรือการต้องสวมหน้ากากติดใบหน้าตลอดการชม จนอาจทำให้ความกระตือรือร้นในการชมภาพยนตร์ในโรงลดลง  

หากเรายึดเอาผลการสำรวจของทั้งสององค์กรเป็นมาตรวัดพฤติกรรมของผู้ชมภาพยนตร์ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย แล้วนำมาวิเคราะห์สิ่งที่ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ต้องประสบภายหลังจากได้รับอนุญาตให้เปิดกิจการได้อีกครั้ง จะพบว่า  ช่วงเวลาสองสัปดาห์แรก หรืออาจนานกว่านั้น  จะเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างสูงของโรงภาพยนตร์ทุกแห่ง เนื่องจากผู้ชมส่วนใหญ่ จะยังไม่กลับมาโรงภาพยนตร์ในทันที  นอกจากนี้มาตการระยะห่างทางสังคมตามที่ได้กล่าวมา จะทำให้รายได้จากการขายบัตรเข้าชมลดลงไปอีกอย่างน้อย 30 %  ( ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของผู้ประกอบการแต่ละราย)  ทั้งนี้ยังไม่นับกรณีหนังฟอร์มใหญ่หลายเรื่องที่เลื่อนกำหนดฉายไปปีหน้าจนทำให้เป้าหมายด้านรายได้ที่วางไว้ต้องเปลี่ยนไป 

สิ่งที่ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ทั่วโลกต้องเผชิญเหมือนกันคือ ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่โรงภาพยนตร์ถูกสั่งปิด  ครั้นพอมีโอกาสได้เปิดก็ต้องมาเผชิญกับภาวะหวาดระแวงต่อการกลับมาระบาดของโรคอีก จนทำให้เกิดความไม่คล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นสิ่งที่เราอาจเห็นจากการเคลื่อนไหวของโรงภาพยนตร์ทั่วโลก  นอกเหนือจากแผนการระยะสั้นอย่างการออกโปรโมชั่นดึงคนกลับมาโรงหนัง ก็คือ การสร้างสมดุลทางการเงินด้วยการทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้รายได้มีสัดส่วนไม่น้อยไปกว่ารายจ่าย ซึ่งแน่นอนว่า หนึ่งในวิธีที่จะทำให้เห็นผลชัดเจนที่สุดคือ การกำหนดราคาค่าตั๋วเข้าชม

ในทัศนะของผู้เขียน ความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้น มีสองกรณีคือ หากผู้ประกอบการไม่ลดราคาค่าตั๋วหนัง จนทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกว่าคุ้มค่ากับการเดินทางมาความสุขในภาวะฝืดเคืองทางเศรษฐกิจเช่นนี้  ก็คงขึ้นราคาค่าเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป แล้วรอลุ้นให้เกิดปรากฏการณ์โรงแตกจากหนังฮิตสักจำนวนหนึ่ง 

แต่ไม่ว่าผู้ประกอบการจะเลือกวิธีใด ก็ต้องรับผลตามมาอยู่ดี  การลดราคาค่าตั๋วลง อาจทำให้ผู้ชมกลับมาชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์มากขึ้น แต่เมื่อใดก็ตามที่โรงภาพยนตร์ตัดสินใจเพิ่มราคาค่าตั๋ว ก็จะได้รับผลกระทบในแง่ลบจากผู้ชมในทันที  ส่วนการขึ้นราคาค่าตั๋ว แม้ว่าอาจไม่มีผลกับหนังบางประเภท โดยเฉพาะหนังฟอร์มใหญ่ที่จัดเป็นหนังประเภทอีเวนท์ที่ต้องมาดูในโรงเท่านั้นถึงจะคุ้มค่า  แต่คำถามก็คือ โรงจะพึ่งพาหนังประเภทนี้ได้กี่เรื่องกันเชียว  ครั้นโรงจะยืนราคาเดิม  ผู้บริโภคที่มองว่าค่าตั๋วปัจจุบันมีราคาแพงอยู่แล้วก็จะยิ่งเห็นว่าแพงขึ้นอีกจากสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้  ส่วนโรงเองก็อาจมองว่าราคาเดิมในภาวะเช่นนี้ อาจไม่ช่วยกอบกู้วิฤตที่ดำเนินต่อเนื่องมาอย่างต่ำสองเดือนได้ 

แต่ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายธุรกิจโรงภาพยนตร์ ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นความท้าทายที่มีตัวแปรคือความอดทน ตราบใดที่โรคโควิด 19 ยังคงอยู่ โรงภาพยนตร์จำนวนหนึ่งในโลกนี้คงต้องหายไปจากสารระบบของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ตามวิถีทางธุรกิจ  แต่โรงภาพยนตร์ที่ยังคงอยู่ได้  หากสามารถปรับตัวเข้ากับวิถีใหม่ของธุรกิจภาพยนตร์ได้ ก็น่าจะกลับมาได้รับความนิยมเหมือนเดิม  เพราะหากยึดผลการสำรวจของ ทั้ง Maoyan กับ EDO  เป็นที่ตั้ง สุดท้ายคนก็ยังคงต้องการกลับมาดูหนังในโรงอยู่ดี เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

บทความโดย ภาณุ อารี ผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศ สหมงคลฟิล์ม

Writerภาณุ
ภาณุ อารีจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และภาพนิ่งในปี 2538 จากนั้นได้ทำงานเป็นช่างบันทึกเสียงให้กับภาพยนตร์ไทย 2 เรื่องได้แก่ ภาพยนตร์เรื่อง คู่กรรม ภาค 2 และ เพื่อเพื่อน เพื่อฝัน เพื่อวันเกียรติยศ ก่อนที่จะทำงานเป็นอาสาสมัครที่มูลนิธิหนังไทย ทำหน้าที่ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวภาพยนตร์ไทยในอดีต

ขณะเดียวกัน ภาณุ ได้ผลิตภาพยนตร์สารคดีขนาดสั้นและยาวหลายเรื่อง โดยในจำนวนนี้รวมถึงภาพยนตร์สารคดีสั้นเรื่อง “กาลครั้งหนึ่ง” (2543) ได้รับเลือกเข้าฉายที่เทศกาลภาพยนตร์ฮ่องกง ปี 2000 ภาพยนตร์เรื่อง “น้ำใต้ท้องเรือ” (2544) ซึ่งได้รับเลือกให้เป็น 100 หนังไทยที่คนไทยควรดู โดยหอภาพยนตร์แห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2543 ภาพยนตร์สารคดีขนาดยาว เรื่อง มูอัลลัฟ (2551) และ เบบี้ อาราเบีย (2553) ซึ่งทั้งสองเรื่อง

ภาณุได้ร่วมกำกับกับ ก้อง ฤทธิ์ดี และกวีนิพนธ์ เกตุประสิทธิ และได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ แวนคูเวอร์ เทศกาลภาพยนตร์สารคดียามากาตะ เทศกาลภาพยนตร์ฮาวาย เทศกาลภาพยนตร์ปูซาน เป็นต้น

ปัจจุบันภาณุ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศ บริษัทสหมงคลฟิล์ม และเป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชา ธุรกิจภาพยนตร์ และ การผลิตภาพยนตร์สารคดี ที่ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต , มหาวิทยาลัยบูรพา ,มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ,และมหาวิทยาลัยรังสิต และเป็นนักเขียนประจำอยู่ที่ Film Club

ในปี พ.ศ. 2560 ภาณุ ได้รับรางวัล ปีติสันติธรรม จากสถานบันปรีดี พนมยงค์

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง