ด้วยการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป มูลนิธิบ้านเด็กฯ และยูนิเซฟ ได้ร่วมเปิดตัวกรอบปฏิบัติการเชียงใหม่ในวันนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยชุดเครื่องมือที่ให้คำแนะนำแก่บริษัทก่อสร้างและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์, แบบสำรวจคุณภาพชีวิต และขั้นตอนการปฏิบัติงาน ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและครอบครัวที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ก่อสร้าง

ชุดเครื่องมือดังกล่าวได้รับการพัฒนา ทดลองใช้ และได้รับการปรึกษาจากผู้นำในธุรกิจก่อสร้าง แรงงานก่อสร้างและครอบครัวและผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ของเด็กและครอบครัวในแคมป์คนงานก่อสร้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามชาติ โดยเน้นให้พวกเขาได้เข้าถึงการบริการทางสุขภาพและศึกษา ชุดเครื่องมือนี้ง่ายต่อการใช้งาน และจะช่วยให้ผู้จัดการแคมป์สามารถระบุถึงความต้องการของผู้พักอาศัย ตลอดจนวางแผนการดำเนินการ และติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความเป็นอยู่ในแคมป์คนงานก่อสร้าง
นายนิโคลา ครอสตา ผู้ก่อตั้งมูลนิธิบ้านเด็กฯ กล่าวว่า “การนำกรอบปฏิบัติการเชียงใหม่ไปใช้ในการจัดการดูแลแคมป์ สามารถสร้างผลลัพธ์ที่สำคัญต่อคนงานก่อสร้างและครอบครัวของพวกเขาได้ ชุดเครื่องมือนี้จะมีตัวชี้วัด และคำแนะนำด้านต่าง ๆ ในการจัดการแคมป์คนงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นในด้านระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน สวัสดิการและบริการ สุขภาพ และการศึกษา เราได้คำนวณว่าทุกหนึ่งบาทที่ลงทุนกับเด็กและครอบครัวที่อาศัยอยู่ในแคมป์ก่อสร้าง จะเกิดผลตอบแทนตามมูลค่าทางสังคมสูงถึง 7 บาท ประโยชน์ที่ได้เป็นผลมาจากการที่เด็ก ๆ ได้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยมากขึ้น มีการเข้าถึงบริการด้านการศึกษาและสุขภาพที่มากขึ้น นอกจากนี้แล้ว ยังสามารถช่วยพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของบริษัทก่อสร้าง และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย”

กรอบปฏิบัติการเชียงใหม่ได้รับการพัฒนามาจากรายงาน “สร้างสรรค์อนาคตประเทศไทย” ในปี 2561 ที่เผยแพร่โดยมูลนิธิบ้านเด็กฯ และยูนิเซฟ ซึ่งระบุว่า เด็กหลายหมื่นคน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากครอบครัวแรงงานข้ามชาติ อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต อีกทั้งยังเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงบริการด้านการศึกษา สุขภาพ และการเข้าถึงวัคซีนที่จำเป็น รายงานดังกล่าวได้จุดประกายความสนใจและความร่วมมือจากบริษัทก่อสร้างหลายแห่งในการพัฒนาชุดเครื่องมือกับมูลนิธิบ้านเด็กฯ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้น
นางคยองซัน คิม ผู้อำนวยการ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า ชุดเครื่องมือนี้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง “การใช้คู่มือนี้นอกจากจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและครอบครัว ปรับปรุงความปลอดภัยและการส่งเสริมความเป็นอยู่ในแคมป์คนงานก่อสร้างแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับบริษัท ลดความเสี่ยงในการดำเนินงาน สร้างชื่อเสียงให้แก่บริษัท อีกทั้งยังช่วยยกระดับความยั่งยืนของบริษัท ทั้งหมดนี้เป็นโอกาสให้บริษัทก่อสร้างได้สร้างผลลัพธ์ทางสังคมและยังสอดคล้องกับความต้องการทั่วโลกในการให้ภาคธุรกิจเป็นผู้นำในการปกป้องสิทธิมนุษยชน”

ฯพณฯ นาย เดวิด เดลี เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย กล่าวว่า “การจัดการเรื่องคุณภาพชีวิตของเด็กและครอบครัวแรงงานก่อสร้างจำเป็นต้องอาศัยทุกภาคส่วนของสังคม และกรอบปฏิบัติการเชียงใหม่ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และหน่วยงานระหว่างประเทศ เราหวังว่ากรอบปฏิบัติการเชียงใหม่ จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานข้ามชาติและครอบครัว โดยเฉพาะในมิติของการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและการศึกษาสำหรับเด็กข้ามชาติ ทางสหภาพยุโรปมีความภูมิใจที่ได้สนับสนุนเงินทุนสำหรับโครงการนี้ เพราะเราไม่ต้องการให้ใครก็ตามถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ชุดเครื่องมือกรอบปฏิบัติการเชียงใหม่ ที่ประกอบไปด้วย แบบสำรวจคุณภาพชีวิต แนวทางการเสริมสร้างผลลัพธ์ที่ดีทางสังคม และคู่มือแนะนำการปฏิบัติสำหรับผู้จัดการแคมป์และผู้พักอาศัยภายในแคมป์ เพื่อวางแผนและดำเนินการจัดการภายในแคมป์ หากสนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.buildingsocialimpact.org










