นักกฎหมายเพื่อสิทธิผู้หญิงข้ามเพศร้องแพทยสภา เปลี่ยนข้อบังคับปลด LGBT จากภาวะผิดปกติทางเพศ

นักกฎหมายเพื่อสิทธิผู้หญิงข้ามเพศร้องแพทยสภา เปลี่ยนข้อบังคับปลด LGBT จากภาวะผิดปกติทางเพศ

นักกฎหมายเพื่อสิทธิผู้หญิงข้ามเพศยื่นหนังสือแพทยสภา แก้คำว่า “โรคหรือภาวะผิดปกติทางจิตเวช” และ “พฤติกรรมสับสนในเพศตนเอง” ในข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม เรื่องเกณฑ์การรักษาเพื่อแปลงเพศ พ.ศ. 2552 

วันที่ 28 ตุลาคม 2565 ชิษณ์ชาภา พานิช นักกฎหมายเพื่อสิทธิผู้หญิงข้ามเพศ เข้ายื่นหนังสือต่อแพทยสภาและฝ่ายจริยธรรมและกฎหมาย  แพทยสภา ร้องขอให้แพทยสภาแก้ไขเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมเรื่องเกณฑ์การรักษาเพื่อแปลงเพศ พ.ศ. 2552 ข้อ 4 วรรคแรก ที่บัญญัติว่า “การผ่าตัดแปลงเพศ คือการรักษาโรคหรือภาวะผิดปกติทางจิตเวช” และ ข้อ 6

ที่บัญญัติการรักษาแปลงเพศคือ “การรักษาที่มีพฤติกรรมสับสนในเพศตนเอง” โดยชี้ว่าไม่ถูกต้องตามหลักการแพทย์สากลขององค์การอนามัยโลก (WHO)

ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2562 องค์การอนามัยโลก (WHO) ถอดถอนบุคคลข้ามเพศ (Transgender) ออกจากหมวดที่ว่าด้วยโรคหรือภาวะผิดปกติทางระบบพัฒนาการประสาทในบัญชีจำแนกโรคระหว่างประเทศ ฉบับที่ 11 หรือ ICD-11 โดยย้ายมาอยู่ในหมวดที่ว่าด้วยภาวะที่สัมพันธ์กับสุขภาพทางเพศแทน และให้นิยามใหม่ว่า ภาวะข้ามเพศเป็น ความไม่สอดคล้องของเพศภาวะ (Gender Incongruence)ซึ่งเป็นเรื่องปกติและมิใช่โรคหรือความผิดปกติทางจิตเวชแต่เป็นเรื่องที่ต้องดูแลในฐานะเป็นสุขภาพทางเพศเท่านั้น โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นมา 

อย่างไรก็ดี ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม เรื่องเกณฑ์การรักษาเพื่อแปลงเพศ พ.ศ. 2552 ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนตามนิยามใหม่นี้ ซึ่งชิษณ์ชาภา ชี้ว่าการไม่เร่งเปลี่ยนแปลงทำให้ข้อบังคับดังกล่าว “เป็นบทบัญญัติที่มีอคติทางเพศ และเป็นการตีตราบาป (Stigmatization) ลดทอนสถานะทางสังคมของบุคคลข้ามเพศอันนำไปสู่ความยากลำบากในการดำเนินชีวิตทั้งในสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษาทุกองค์กร สถานที่ทำงานต่าง ๆ ตลอดจนการประกอบวิชาชีพที่กำหนดคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอใบประกอบวิชาชีพว่าต้องไม่เป็นบุคคลโรคจิตหรือวิกลจริต เช่น การขึ้นทะเบียนเป็นทนายความ กฎของสำนักงาน ก.พ. ที่ห้ามคนโรคจิตหรือโรคผิดปกติทางอารมณ์เข้ารับราชการพลเรือน เป็นต้น นอกจากนั้น บทบัญญัติดังกล่าวยังเป็นการสนับสนุนให้คนในสังคมมีความรู้สึกเกลียดชังบุคคลข้ามเพศรวมตลอดถึงชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ (Homophobia, Biphobia and Transphobia) เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นโรคจิตวิปริตผิดเพศและนำไปสู่ความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ (Gender-Based Violence)” เธอยังชี้ว่าข้อบังคับน้ยังอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญอีกด้วย 

“ดิฉันในฐานะนักกฎหมายเพื่อสิทธิผู้หญิงข้ามเพศ (Lawyer for Trans Women’s Rights) ซึ่งเป็นผู้หญิงข้ามเพศที่มีส่วนได้เสียและได้รับความเสียหายจากบทบัญญัติดังกล่าวเช่นกัน จึงขอให้ฝ่ายจริยธรรมและกฎหมายแห่งแพทยสภาได้ทบทวนแล พิจารณาแก้ไขถ้อยคำแห่งบทบัญญัติดังกล่าวให้ถูกต้องเหมาะสมและไม่เป็นการละเมิดศักดิ์ความเป็นมนุษย์” ชิษณ์ชาภาทิ้งท้าย 

TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง