
แฮชเเท็ก บัตรเกิดใหม่ในหีบ ขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ทวิตเตอร์ ไทย หลัง กกต. แถลงผลคะแนนการเลือกตั้ง ส.ส. 100 % อย่างไม่เป็นทางการ
วันที่ 28 มี.ค. 62 ในโลกออนไลน์ แฮชเเท็ก บัตรเกิดใหม่ในหีบ ขึ้นอันดับ 1 เทรนด์ทวิตเตอร์ ไทย หลังสำนักงาน กกต. แถลงผลคะแนนการเลือกตั้ง ส.ส. 100 % อย่างไม่เป็นทางการ
โดยผลคะแนนเลือกตั้ง ที่รวมจากเขตเลือกตั้งทั้ง 350 เขต 77 จังหวัด พรรคที่ได้คะแนนรวมมาเป็นอันดับหนึ่ง คือ พรรคพลังประชารัฐ รองลงมาคือพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ ประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย
รองเลขาธิการ กกต.ให้เหตุผลถึงการแถลงในวันนี้ว่า เนื่องจากหลายฝ่ายต้องการทราบตัวเลขที่แท้จริง และประธาน กกต.สั่งการว่า หากสามารถรวบรวมคะแนนเสร็จสิ้นครบถ้วนแล้ว ก็ให้แถลงผลทันที
นายกฤช เอื้อวงศ์ แถลงผลคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.เขต ทั้ง 350 เขต จาก 81 พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัคร รวมคะแนนทั้งสิ้น 35,532,647 คะแนน โดย 5 อันดับแรกที่ได้คะแนนสูงสุดคือพรรคพลังประชารัฐ รองลงมาคือพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย
ทั้งนี้จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 51,239,638 คน มาใช้สิทธิร้อยละ 74.69 ส่วนผู้ไม่มาใช้สิทธิ์ คิดเป็นร้อยละ 25.31

ข้อมูลเเละภาพจาก trends24.in/thailand/
โดยบัตรเลือกตั้งทั้งหมด 38,268,366 ใบ คิดเป็นบัตรดีร้อยละ 92.85 บัตรเสียคิดเป็นร้อยละ 5.57 ขณะที่บัตรไม่ประสงค์จะเลือกผู้ใด หรือโหวตโนมีจำนวนร้อยละ 1.58 พร้อมชี้แจงเหตุผลที่แถลงในวันนี้ เพราะทุกหลายฝ่ายต้องการทราบตัวเลข
ทั้งนี้ยังชี้แจงว่า ที่ผ่านมาเป็นผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ เพราะยังไม่ครบถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ และสำนักข่าวนำไปวิเคราะห์จำนวน ส.ส.เอง ทำให้ยังมีความคลาดเคลื่อน พร้อมทั้งขอความเป็นธรรมในกรณีการวินิจฉัยบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าจากประเทศนิวซีแลนด์จำนวน 1,542 ใบ เพราะเป็นการวินิจฉัยตามบทบัญญัติของกฎหมาย โดย กกต. ไม่สามารถวินิจฉัยเป็นอื่นได้
รองเลขาธิการ กกต.ย้ำด้วยว่า กกต. ทุกคนทำงานตามระเบียบและข้อกฎหมายทุกอย่าง สามารถเปิดเผยได้ตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมย้ำด้วยว่า ผลคะแนนที่ได้ในวันนี้สามารถนำไปคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อได้ แต่ถ้ามีการจัดการเลือกตั้งใหม่ในเขตใดก็จะส่งผลต่อการคำนวณคะแนนของพรรคการเมือง
โดย วันที่ 24 มี.ค. กกต.เเจ้งจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 33,775,230 คน คิดเป็น 65.96 % ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด ต่อมาในวันที่ 28 มี.ค. ในการเเถลงผลเลือกตั้งครั้งล่าสุด กกต.เเจ้งจำนวนผู้มาใช้สิทธิ 38,268,375 คน คิดเป็น 74.69 % ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 4,493,145 คน










