
แฟ้มภาพ
ประเด็นคือ – ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งที่ 4 คดีชุมนุมบุกล้อมสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ปี 51 ศาลกำชับจำเลยทั้ง 82 คน ต้องไปตามนัด หากศาลอ่านคำพิพากษาลับ ถ้ามีความผิดจะถูกออกหมายจับ
วันที่ 21 ก.พ. 2561 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งที่ 4 คดีชุมนุมบุกล้อมสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เมื่อปี 2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายธเนศร์ คำชุม กับพวกซึ่งเป็นผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) , รวม 85 คน ในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, ร่วมกันไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไปหรือซ่อนตัวในเคหสถาน หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมีอาวุธในเวลากลางคืน, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด, ทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งอัยการ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2551

แฟ้มภาพประกอบข่าว (แกนนำ พธม. ไปศาลวันที่ 24 ม.ค.61)
พฤติการณ์คดีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22-25 ส.ค. 2551 จำเลยทั้ง 82 คนกับอีก 3 คนซึ่งเป็นเยาวชน ร่วมกันบุกรุกอาคารสำนักงานสถานี NBT พร้อมพกอาวุธจำนวนมาก จากนั้นจำเลยได้ร่วมกันทำลายทรัพย์สินของทางราชการ รวมค่าเสียหายทั้งสิ้นกว่า 6 แสนบาท โดยจำเลยที่ 1 มีเครื่องรับและส่งวิทยุคมนาคม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่จำเลยที่ 39 , 80 มีใบกระท่อม ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 รวม จำนวน 18 ใบไว้ในครอบครองจำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี
หากวันนี้จำเลยไม่ครบ ศาลจะอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย เนื่องจากได้เลื่อนเวลาอ่านคำพิพากษามาแล้วหลายนัดเป็นเวลานับ 6 เดือน และหากศาลอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยแล้ว ถ้าจำเลยมีโทษ ศาลก็จะได้ออกหมายจับให้นำตัวมารับโทษต่อไปโดยคำพิพากษาฎีกานี้ก็จะถือเป็นที่สุดแล้ว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา คดีพันธมิตรบุก NBT ปี 51 เหตุจำเลยมาไม่ครบ









