
เลี่ยงกระทบต้นสังกัด “สังศิต พิริยะรังสรรค์” ประกาศยุติทำโพลในนาม ม.รังสิต หลังผลสำรวจล่าสุด “พล.อ.ประยุทธ์” ยังนำถูกโจมตีว่าไม่เป็นกลาง
จากกรณีที่ “รังสิตโพลล์” เปิดเผยผลการสำรวจความนิยมของประชาชนต่อบุคคลและพรรคการเมืองที่จะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลหลังวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคะแนนมาเป็นอันดับที่ 1 ตามด้วย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (เพื่อไทย) ,นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ประชาธิปัตย์) , นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (อนาคตใหม่) และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล (ภูมิใจไทย)

ภาพจาก FB สังศิต พิริยะรังสรรค์
วันที่ 29 ธ.ค. นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้อำนวยการโครงการสำรวจ หรือทำโพลในครั้งนี้ ได้ประกาศยุติการทำโพลในนามมหาวิทยาลัยรังสิตแล้ว หลังจากผลการสำรวจครั้งล่าสุดได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เป็นกลาง เพราะไม่น่าเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้รับคะแนนนิยมเป็นอันดับหนึ่ง
โดยเปิดเผยว่า เพื่อรักษาชื่อเสียงและความเป็นกลางทางการเมืองของมหาวิทยาลัยรังสิต ตนในฐานะผู้อำนวยการโครงการจัดทำโพลจึงขอประกาศยุติการทำรังสิตโพลล์นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากในอนาคตจะทำการสำรวจโพลจะถือว่ามิได้เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยรังสิตแต่ประการใดทั้งสิ้น
สำหรับผลการสำรวจล่าสุดระบุว่า รวบรวมตัวอย่างจำนวน 8,000 ตัวอย่าง ตามโครงสร้างประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในวันที่ 24 ธันวาคม 2561 ตามภาคอาชีพ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ ฯลฯ ใน 350 เขตเลือกตั้งใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ ด้วยระดับความน่าเชื่อมั่นทางสถิติ 90 % ผลการศึกษาสรุปได้ดังต่อไปนี้ 1.ผลการสำรวจคะแนนนิยมที่ประชาชนต้องการบุคคลมาเป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังการเลือกตั้งตามลำดับ คือ (1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 26.04 % (2) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 25.28 % (3) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 22.68 % (4) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 9.9 % และ (5) นายอนุทิน ชาญวีรกูล 9.23 % 6) อื่น ๆ รวมกัน 6.86 %
ทั้งนี้ นายสังศิต เคยชี้แจงเรื่องคำวิจารณ์ต่อรังสิตโพลล์ ไว้ในเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุตอนหนึ่งว่า
“เป็นเรื่องน่าสนใจที่จะตั้งคำถามว่าในเมื่อมีสถาบันการศึกษาหลายแห่งที่ทำโพลล์อยู่แล้วมาเป็นเวลาหลายปีอย่างเนื่อง แต่โพลล์เหล่านั้นเพียงแต่ถูกรายงานในสื่อมวลชนแต่มักไม่มีการถกเถียงกันอย่างเอาจริงเอาจังเหมือนรังสิตโพลล์ ผมคิดว่ารังสิตโพลล์แตกต่างจากโพลล์ทั่วไปอย่างน้อย 2 ประการคือ ประการแรก รังสิตโพลล์เป็นการทำโพลล์ตามหลักวิชาการจริง เพราะเราเอาโครงสร้างของประชากรทั้งประเทศที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเป็นฐาน มีการกระจายตัวอย่างตามภูมิภาค อาชีพ เพศ อายุ ระดับการศึกษาและอื่นๆ ระดับความเชื่อมั่นของเราสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์ (เวลาออกข่าวถ่อมตัวว่า 90 เปอร์เซ็นต์) ในขณะที่โพลล์อื่นๆ นั้นใช้ตัวอย่างระหว่าง 1,200-2,000 โดยประมาณ สำหรับผมแล้วนี่ไม่ใช่โพลล์ในความหมายของมันจริงๆ แต่น่าจะเรียกว่าเป็นการสำรวจทัศนคติ (attitude) ของคนจำนวนหนึ่งอาจจะเป็น 2,000-3,000คน ในประเด็นหนึ่งๆ เท่านั้น”









