
เลขาฯ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น ตั้งคำถามการทำหน้าที่ ป.ป.ช.ได้สืบสวนหาความจริงเต็มที่แล้วหรือยัง นอกจากฟังคำชี้แจงผู้ถูกกล่าวหา พร้อมฝากการบ้านอีก 4 ข้อ จะตอบสังคมเรื่องยืมต่างจากเป็นหนี้อย่างไร แล้วทำไมกรณีอื่นถึงผิด
วันที่ 28 ธ.ค. นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณี ป.ป.ช.มีมติยังไม่มีมูลเพียงพอว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จงใจยื่นบัญชีแสดงบัญชีทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จจากกรณีนาฬิกาหรู 22 เรือน โดยตั้งหัวเรื่อง “เมื่อนาฬิกาเดินไม่ตรง ป.ป.ช. จึงตกเป็นจำเลยร่วม” มีเนื้อหาสำคัญว่า ป.ป.ช.มีหน้าที่ต้องสืบสวนหาความจริงมาพิสูจน์โดยไม่เห็นแก่พวกพ้องหรือผู้มีอำนาจ การเชื่อคำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดแบบสวนความรู้สึกประชาชนย่อมทำให้ ป.ป.ช. กลายเป็นจำเลยร่วมไปทันที

ภาพจาก FB มานะ นิมิตรมงคล
พร้อมเสนอให้ป.ป.ช.เปิดเผยคำวินิจฉัยส่วนบุคคลของทั้งกรรมการเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อยให้สังคมได้รับรู้เพื่อความโปร่งใสตามเจตนารมย์ของกฎหมาย และตั้งคำถามเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ
1. หากมีข้าราชการคนหนึ่งไปยืมเงินญาติที่รักใคร่มาโดยเขาไม่คิดดอกเบี้ย มีเมื่อไหร่ค่อยใช้คืน หนี้ก้อนนี้ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินหรือไม่
2. หากการมีหนี้สินต้องแสดงบัญชี ดังนั้นการยืมของแพงจำนวนมากและต้องใช้คืนย่อมไม่ต่างกับการเป็นหนี้ จริงหรือไม่
3. ป.ป.ช. มีข้อมูลไหมว่านาฬิกาทั้ง 22 เรือนนั้น แต่ละเรือนยืมมาช่วงเวลาไหน ยืมนานแค่ไหน เรือนไหนบ้างที่ยังสวมใส่อยู่แม้คนที่ถูกอ้างว่าเป็นเจ้าของเสียชีวิตไปแล้ว
4. เรื่องนี้ต่างอย่างไรกับกรณีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อมที่ถูกสืบเสาะหาข้อมูลจนเอาเขาติดคุกแม้จะอ้างว่ารถตู้ที่เป็นหลักฐานนั้น “ยืมเขามา” เช่นกัน
ทั้งนี้ นายมานะ ยังตั้งข้อสังเกตในการแถลงข่าวของ ป.ป.ช. ที่ไม่ระบุรายละเอียดการยุติเรื่อง ว่ายังมีกรณีรับทรัพย์สินหรือผลประโยชน์จากบุคคลอื่นเกินกว่า 3 พันบาทตาม ม.128 จนนักข่าวถามขึ้น เหมือนต้องการให้ประชาชนเข้าใจว่าเรื่องนาฬิกาหรูยุติลงแล้ว และยังระบุว่าควรจะให้เรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คือชั้นศาล
“คำตัดสินครั้งนี้จะกลายเป็นมาตรฐานและวัฒนธรรมใหม่ ห่วงก็แต่ ป.ป.ช. สถาบันหลักในการต่อต้านคอร์รัปชันของชาติว่าจะรักษาศรัทธาประชาชนได้แค่ไหน” นายมานะ ระบุทิ้งท้าย
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1623070747838789&set=a.677824955696711&type=3&theater









