
อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือทีมอาร์เซนอล / AFP
ประเด็นคือ – อาร์แซน เวนเกอร์นายใหญ่ “ไอปืนใหญ่” อาร์เซนอล ประกาศอำลาทีมอย่างเป็นทางการ หลังคุมทีมมาร่วม 22 ปี
วันนี้ (20 เมษายน 61) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า “อาร์แซน เวนเกอร์” กุนซือชาวฝรั่งเศสของทีมอาร์เซนอล ประกาศอำลาทีมผ่านเว็บไซต์ทางการของสโมสรระบุว่า “ผมรู้สึกทราบซึ้งใจมากที่มีโอกาสได้รับใช้สโมสรตลอดเวลาหลายปีที่น่าจดจำ ผมทำงานในฐานะผู้จัดการทีมด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทเสมอ”
“ผมอยากจะขอบคุณทีมงานสต๊าฟฟ์, นักเตะทุกคน, ผู้บริหาร และเหล่าแฟนบอล ที่ช่วยกันทำให้สโมสรนี้เปี่ยมไปด้วยความพิเศษ ผมขอให้แฟนๆ ช่วยหนุนหลังทีมเพื่อที่จะจบฤดูกาลด้วยผลงานที่ดี
“ฝากถึงบรรดาคนที่รักอาร์เซน่อลทุกคน ขอให้รักษาคุณค่าของสโมสรเอาไว้ ความรักและแรงสนับสนุนจากผมจะคงอยู่ตลอดไป…. อาร์แซน เวนเกอร์”
โดยอาร์แซน เวนเกอร์เข้ามาคุมทีมอาร์เซนอลตั้งแต่ปี 1996 โดยก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามารับงานที่อาร์เซนอล เวนเกอร์เป็นโค้ชให้กับทีมนาโกย่า แกรมปัส ในเจลีกมาก่อน ทำให้การเข้ามารับงานของเวนเกอร์ครั้งนี้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขาจะมีดีพอที่จะทำทีมในลีกอังกฤษหรือไม่
เวนเกอร์เริ่มสร้างทีมโดยการซื้อดาวรุ่งต่างชาติเข้าทีมในราคาที่แสนถูกเช่น เอมมานูเอล เปอตีต์, ปาทริค วิเอร่า, อเนลก้า และอองรีเป็นต้น นอกจากนี้เวนเกอร์ยังเปลี่ยนสไตล์การเล่นของอาร์เซนอล จากที่แต่ก่อนเล่นเน้นตั้งรับชวนง่วง เวนเกอร์เปลี่ยนให้อาร์เซนอลเล่นบอลเอนเตอร์เทนคนดูมากที่สุดในลีก
และแล้วสิ่งที่เวนเกอร์ทุ่มเทสร้างขึ้นมาก็ปรากฎออกมาเป็นรูปธรรม เมื่อในซีซั่น 1997-1998 อาร์เซนอลกระชากบัลลังค์แชมป์ลีกอังกฤษจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาครอง และยังตอกย้ำความเป็นเบอร์ 1 ของเกาะอังกฤษด้วยการคว้าแชมป์เอฟเอคัพมาครองได้สำเร็จ จุดนี้เองที่ทำให้อาร์เซนอลที่นำโดยเวนเกอร์สถาปนาตนเองขึ้นมาเป็นคู่แข่งเบอร์ 1 ของทัพปิศาจแดงในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกนับที่ดุเดือดอย่างมากในปลายยุค 90
หลังจากคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในปี 1998 เวนเกอร์และลูกทีมของเขาต้องนั่งมองคู่แข่งสำคัญอย่างแมนฯ ยูไนเต็ดของเฟอร์กูสันยกถ้วยรางวัลจนเมื่อยมือ
แต่ฤดูกาล 2001 – 2002 การเปลี่ยนแปลงได้มาถึง นั้นเพราะอาร์เซนอลได้ซื้อ Mr. X คนสำคัญที่จะช่วยให้พวกคว้าแชมป์มาครองอีกครั้งซึ่งเป็นสมัยที่ 2 ในยุคเวนเกอร์ ซึ่ง Mr. X คนนี้คือ โซล แคมเบลล์ พร้อมกับการระเบิดฟอร์มแจ้งเกิดของแข้งฝรั่งเศสอย่างเธียร์รี่ อองรี

อาร์เซนอลชุดแชมป์ไร้พ่าย / AFP
ในปี 2003-04 เป็นปีที่เวนเกอร์และลูกทีมของเขาสร้างประวัติศาสตร์ที่จะอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงทุกวันนี้ ในฐานะ “แชมป์ไร้พ่าย” หรือ “The Invincible” เป็นทีมที่ 2 ในอังกฤษที่คว้าแชมป์แบบร้พ่ายต่อจากเปรสตัน นอร์ธเอนด์ ที่เคยทำไว้เมื่อ 115 ปีก่อนหน้านี้ ส่วนในบอลยุโรปพวกเขาไปได้ไกลถึงรอบชิงชนะเลิศในปี 2006 โดยนัดชิงปีนั้นมีขึ้นที่สนาม สตาดเดอฟร็องส์ กรุงปารีส เวนเกอร์และลูกทีมต้องพ่ายแพ้ให้กับ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่าด้วย 2- 1
หลังจากนั้นไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะไม่ได้สัมผัสบัลลังค์แชมป์ลีกอีกเลยจนกระทั่งปัจจุบัน ส่วนเส้นทางในบอลยุโรปพวกเขามักต้องจอดในรอบ 16 จากน้ำมือของบาร์เซโลน่าและบาเยิร์น มิวนิค สองมหาอำนาจในฟุตบอลยุโรป จะมีก็แต่แชมป์เอฟเอคัพที่พวกเขาคว้าแชมป์ได้ในปี 2005, 2014, 2015 และล่าสุดในปี 2017
ผลงานของอาร์เซนอลในช่วงหลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ ความไม่สม่ำเสมอของผลงาน เรื่องที่เจ็บที่สุดนอกจากการหมดสิทธ์ลุ้นแชมป์หนีไม่พ้น การที่ศัตรูตลอดกาลของพวกเขาอย่างท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์จบอันดับสูงกว่าพวกเขาในลีก ซึ่งจากหลายๆปัจจัยดังกล่าวที่สะสมมานานปีมันทำให้เกิดกระแสต่อต้านเวนเกอร์อย่างหนัก คำว่า “wenger out” ปรากฏอยู่ทั่วทุกสื่อโซเชี่ยลในโลก
จนถึงวันนี้อาร์แซน เวนเกอร์เลือกที่จะอำลาถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดียม อำลาสโมสรที่เขาปลุกปั้น 20 กว่า ทิ้งความทรงจำดีๆ ที่มีอยู่ไว้กับสาวก เดอะกันส์เนอร์ทุกตลอดไป









