แยกขัง ‘พุทธะอิสระ’ หวั่นเผชิญหน้า ‘จตุพร’ แกนนำ นปช.

แยกขัง ‘พุทธะอิสระ’ หวั่นเผชิญหน้า ‘จตุพร’ แกนนำ นปช.

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ แยกอดีตพระเถระไปคุมขังยังแดนต่างๆ โดยเฉพาะกุทธอิสระ ป้องกันไม่ให้เผชิญหน้ากับ จตุพร แกนนำ นปช. 

วันที่ 28 พ.ค. 2561 วานนี้พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการควบคุมตัวอดีตพระพุทธะอิสระ หรือนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ รวมถึงอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป ว่า ได้นำผู้ต้องขังทั้ง 6 ราย กระจายไปควบคุมยังแดนปกติในเรือนจำ เพื่อความเหมาะสมและเรียบร้อย

นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร รายงานว่า ได้กระจายผู้ต้องขังจากแดนแรกรับไปคุมขังยังแดน 3, 4 และ แดน 6 เพื่อลดการเผชิญหน้ากัน โดยเฉพาะอดีตพระพุทธะอิสระและนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และแยกอดีตพระเถระชั้นใหญ่ทั้ง 5 รูป กระจายไปคุมขังยังแดนต่างๆ เพื่อความเหมาะสม

สำหรับผู้ต้องขังทั้ง 6 ราย ปฏิบัติกิจวัตรส่วนตัวตามปกติ รับประทานเช้าและกลางวันตามที่เรือนจำจัดให้ แต่ผู้ต้องขังทั้ง 6 ปฏิเสธที่จะรับประทานอาหารเย็น พระเถระชั้นผู้ใหญ่ทั้ง 5 รูป ยังคงมีความวิตกกังวล อยู่ระหว่างการประกันตัว

ทั้งนี้ อดีตพระพุทธะอิสระ มีอาการปวดหลังรุนแรง ต้องนั่งรถเข็นเนื่องจากเป็นโรคหมอนรองรับกระดูกทับเส้นประสาท เจ้าหน้าที่กำลังประเมินว่าจะรักษาแบบใด เพื่อบรรเทาอาการ

 

เตือนลูกศิษย์ช่วยเหลือให้ที่พัก “2 เจ้าคุณ” สอบเส้นทางการเงิน

ล่าสุดวานนี้ พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. กล่าวถึงการติดตามตัวพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสะเกศและ พระพรหมเมธี สองผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีว่า ขณะนี้ในส่วนของกองปราบยังไม่ได้รับการติดต่อมอบตัวมาอย่างเป็นทางการ ได้มอบหมายให้ชุดสืบสวนตามล่าตัวและกดดันอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของ “พระพรหมสิทธิ” นั้นจากแนวทางการสืบสวนเชื่อว่าจะยังซ่อนตัวอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ได้หนีไปไหนไกล ส่วน “พระพรหมเมธี” เจ้าหน้าที่ก็ยังคงแกะรอย ยืนยันว่าทั้งคู่ยังอยู่ในเมืองไทย จึงอยากจะขอเตือนไปยังคนสนิทของผู้ต้องหารวมทั้งผู้ที่คิดว่าจะให้ความช่วยเหลือ เพราะการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ที่ซุกซ่อนผู้ต้องหานั้นถือว่าเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 189 ที่ระบุว่า ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ผบก.ป.กล่าว

พล.ต.ต.ไมตรี กล่าวถึงกรณีที่ข้อมูลแนวทางการสืบสวนพบว่าพระผู้ใหญ่บางคนมีความเกี่ยวข้องกับสีกาว่า เป็นเรื่องจริงที่พบจากแนวทางการสืบสวนแต่ตำรวจไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเป็นพระผู้ใหญ่รูปไหน ในกรณีนี้แม้ว่าจะไม่เป็นการกระทำความผิดอาญา แต่ตำรวจก็จะทำเป็นบันทึกการสืบสวน เพื่อเสนอไปยังสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ทราบถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมควรประจานให้สังคมรู้ ซึ่งขั้นตอนต่อไป สำนักพุทธฯ ก็จะเสนอไปยังมหาเถระสมาคม เพื่อเป็นข้อมูลพิจารณาในการปลดพระสงฆ์ที่มีพฤติกรรมดังกล่าวจากตำแหน่งต่างๆ รวมถึงสมณศักดิ์ที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ด้วย ซึ่งการปลดนั้นจะเป็นมติของมหาเถระสมาคมที่จะพิจารณาต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจากการสืบสวนสอบสวนหารายละเอียดในด้านเส้นทางการเงินของแต่ละบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทอนวัดแล้ว เจ้าหน้าที่ยังได้สืบสวนเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคลต่างๆ ที่พบในคดีนี้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่ถูกออกหมายจับเป็นในลักษณะใดกันบ้าง เมื่อข้อมูลทั้งหมดเริ่มชัดเจนจึงได้เปิดปฏิบัติการตรวจค้นผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เริ่มจากกลางเดือนพฤษภาคม พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป.พ.ต.อ.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผบก.ป. พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1.บก.ป.พร้อมเจ้าหน้าที่ปปง.นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 265/154 หมู่บ้านสีวลีรามคำแหง ถ.ราษฎร์พัฒนา (ซอยมิสทีน) แขวงและเขตสะพานสูง บ้านของนางฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา แต่ขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นไม่อยู่ พบแต่ ร.ท.ฐิติทัตน์ นิพนธ์พิทยา เจ้าหน้าที่ทหารในสังกัดศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย อยู่กับภรรยา และ น.ส.นุชรา สิทธินอก อายุ 32 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ แม่ค้าตลาดสี่มุมเมือง ที่มาคอยทำหน้าที่เป็นแม่บ้าน

จากแนวทางการสอบสวนเส้นทางการเงินพบน.ส.นุชรา ได้ไปเบิกแคชเชียร์เช็คจากพระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศวรวิหาร 5 ครั้ง ครั้งละ 5 ล้านบาท โดยจัดทำเป็นงบทำหนังสือและแผ่นวีซีดีเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่วัดสระเกศได้งบประมาณมาจากสำนักพุทธฯ 30 กว่าล้านบาท โดยมี นายธีระพงษ์ พันธ์ศรี ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระภายในวัดสระเกศ นำ น.ส.นุชรา ซึ่งถูกตั้งให้เป็นผู้จัดการ หจก. ดีดี ทวีคูณ ไปรับเช็ค 5 ครั้ง รวม 25 ล้านบาท เข้าบัญชี น.ส.นุชรา ก่อนที่ นายธีระพงษ์ จะพา น.ส.นุชรา ไปเบิกเงินออกมาจากธนาคาร ครั้งละ 1.8 ถึง 1.9 ล้านบาท โดยไม่ยอมเบิกเงินเกิน 2 ล้านบาท เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่รัฐ  จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า หลังจากได้เงินดังกล่าวมาแล้วได้ต่อยอดไปถึงนางฑัมม์พรอีกที สำหรับเงินอีก 5 ล้านบาท จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่าอยู่ที่นายธีระพงษ์ เป็นผู้รับในส่วนนี้ไป จากหลักฐานทั้งหมดที่พบ จึงนำไปสู่การขอออกหมายจับฆราวาส 4 ราย ที่พัวพันกับการฟอกเงินครั้งนี้

สำหรับนางฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา อายุ 50 ปี เคยเป็นเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด ดีดี ทวีคูณ รับงานประชาสัมพันธ์ต่างๆ ให้กับวัดสระเกศ จดทะเบียนตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 มีความสนิทสนมส่วนตัวกับพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ จนได้รับงานจัดทำหนังสือและวีดีโอเผยแผ่พุทธศาสนาให้กับวัดสระเกศ รวมทั้งรายการ วิถีไทย วิถีพุทธ ก่อนจะถอนหุ้นออกมาเมื่อปี 2560 จากนั้นได้มี น.ส.นุชรา สิทธินอก แม่ค้าขายลูกชิ้นที่ตลาดสี่มุมเมือง เข้ามาถือหุ้น 14.29 เปอร์เซ็น ร่วมกับ นายกนกศักดิ์ ภูทองอูบ ที่ถือหุ้น 85.71 เปอร์เซ็น นอกจากนั้นยังตั้งให้ น.ส.นุชรา เป็นผู้จัดการ ดูแลเรื่องการเบิกเงินจากวัดสระเกศทั้งหมดด้วย

 

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง