วันที่ 27 ก.พ. 62 ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน 186 องค์กร นัดหมายแต่งกายชุดสีดำ รวมตัวที่หน้าวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เพื่อเรียกร้องให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ยุติบทบาทในการพิจารณากฎหมายทุกฉบับ และเรียกร้องให้รัฐบาลชะลอนำกฎหมาย 66 ฉบับ ที่ผ่านการพิจารณาของ สนช. ในห้วงเวลาหลังประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย เนื่องจากเห็นว่าไม่มีความชอบธรรมในการทำหน้าที่

นายประยงค์ ดอกลำไย ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน กล่าวว่า ตามหลักการหลังมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร หรือ สภาผู้แทนราษฎรครบวาระ ต้องไม่มีการพิจารณากฎหมายเพราะจะส่งผลเกี่ยวพันกับนโยบายหลังการเลือกตั้ง ที่พรรคการเมืองใช้ในการรณรงค์หาเสียง
รัฐบาลที่อยู่ในช่วงการเลือกตั้งทั่วไป จึงมีสถานะเป็นรัฐบาลรักษาการ ไม่สามารถดำเนินการใดที่มีผลผูกพันกับรัฐบาลที่จะมาใหม่ สภานิติบัญญัติ แห่งชาติซึ่งสมาชิกไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจึงไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะพิจารณากฎหมายใน ช่วงเวลานี้
แต่ปรากฏว่า ในช่วงเดือนธันวาคม 2561 ถึง มกราคมและกุมภาพันธ์ 2562 สนช.ได้ พิจารณากฎหมายมากกว่า 100 ฉบับ และกำลังเร่งรีบพิจารณากฎหมายต่อเนื่องอีกจำนวนมาก โดยที่กฎหมายทั้งหมดไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อการบริหารประเทศ และชัดเจนว่า การเร่งรีบพิจารณาทำให้ขาดความรอบคอบ ละเลยการมีส่วนร่วมของประชาชน อาจส่งผลให้กฎหมายหลายฉบับมีเนื้อหาที่จะก่อให้เกิดความเสียหายตามมาในอนาคต
นอกจากนี้ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชน จะยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้ชะลอการนำร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นับแต่วันที่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย โดยให้รัฐบาลใหม่ที่จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นผู้ดำเนินการต่อไป
ในเวลาต่อมา กลุ่มตัวแทนภาคประชาชนจำนวน 242 คน เท่ากับจำนวน สนช.ที่เหลืออยู่ ได้เข้ายื่นหนังสือ ข้อเรียกร้องต่อ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ขอให้ยุติการพิจารณากฎหมาย และขอให้ลาออก ซึ่ง ประธาน สนช. ระบุว่า ยังมีร่างกฎหมายที่ต้องเร่งพิจารณา แต่จะยุติการออกกฎหมายภายในวันที่ 8 มีนาคมนี้ ส่วนกรณีลาออกไม่สามารถทำได้ เนื่องจากจะทำให้ขาดสมดุลในการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารและกระทบต่อภารกิจ










