ในประเทศที่ความคิดสร้างสรรค์ถูกกดคุณค่า แล้วเราจะต้องเดินหน้าด้วยวิธีไหนได้บ้างที่จะยังได้ทำงานสร้างสรรค์ในแบบที่เรารักได้
เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเคยต้องเลือกระหว่างการเดินหน้าสู่สายอาชีพที่มั่นคง กับการเลือกสายอาชีพสร้างสรรค์ที่ชอบแต่หนทางข้างหน้าก็มีความยากลำบากไม่น้อย และแม้แต่ ฌอน-ชวนล ไคสิริ ผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์แบรนด์ POEM ก็ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายในการทำงานในแวดวงนี้
แต่ประสบการณ์กว่า 18 ปี ในแวดวงดีไซเนอร์ก็ช่วยสอนให้เขาหนักแน่น และสม่ำเสมอกับความฝันและสิ่งที่เขาลงมือทำ
“จงความสม่ำเสมอในสิ่งที่รัก”
ฌอน เกิดมาในครอบครัวที่มีแม่เป็นช่างตัดเสื้อธรรมดาๆ ชีวิตของเขาไม่ได้เกิดมาบนความร่ำรวยและคอนเน็กชั่นมากมาย และแม้ว่าก่อนหน้านั้นเขาจะเลือกเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกเบนเข็มมาทำงานเป็นแฟชั่น ดีไซเนอร์ ซึ่งเป็นความฝันในวัยเด็กของเขาแทน
แน่นอนว่าเขาเองก็ยอมรับว่าในประเทศนี้ การทำงานสร้างสรรค์ให้เติบโตได้เป็นเรื่องที่ยากและท้าทาย เพราะคนที่จะอยู่รอดส่วนใหญ่ก็มักจะต้องมีคอนเน็กชั่นที่ดี มีเงินสำหรับเริ่มต้น แต่สำหรับฌอน ยังมีสิ่งที่เป็นเหมือนคัมภีร์ในการทำงานของเขา ซึ่งก็คือ “ความสม่ำเสมอ” และ “ความหนักแน่น” ในสิ่งที่ทำ
“สิ่งที่เราต้องทุ่มเทคือเราต้องขยันทำงานแบบเดิมๆ ซ้ำๆ นานๆ อย่างน้อยเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งการทำอะไรที่ติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี มันต้องเป็นสิ่งที่คุณรักแน่นอน” นี่คือสิ่งที่เขาพูดไว้ในรายการ WISDOM
ฌอนมองว่ายิ่งอาชีพดีไซเนอร์ ยิ่งต้องรักในอาชีพนี้จริงๆ และลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ และให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะในประเทศนี้น้อยคนนักที่จะให้คุณค่ากับงานสร้างสรรค์ กับนวัตกรรมใหม่ๆ ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือการพิสูจน์ให้เห็นด้วยมาตรวัดของ ‘เวลา’ เช่นเดียวกับ POEM ที่อยู่มานานกว่า 18 ปี ซึ่งทั้งหมดนี้ฌอนไม่เคยเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อและความหนักแน่นของตัวเองเลย
และตัวตนนั้นก็คือความขบถในตัวนั่นเอง
“ทำงานแฟชั่นได้ดี ต้องมีความขบถ”
หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นภาพของแบรนด์ POEM ที่ดูเป็นลุคสาวหวาน ผู้หญิงละมุนๆ แต่ฌอนบอกว่าทั้งหมดนั้นคือภาพที่เขาตั้งใจสร้างขึ้นมา เพราะตัวตนจริงๆ ของเขาไม่ใช่แบบนั้น
“ฌอน POEM เป็นคนที่โดนบัญชีดำ บัญชีหนังหมาไว้กับหลายๆ คนในวงการ” นี่คือสิ่งที่เขาบอกเล่าและยอมรับผ่านรายการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดมาจากนิสัยความเป็นขบถในตัวของเขา ที่ตัวเขาเชื่อในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่ชอบการตีสองหน้า ไม่ชอบคุยกับคนที่ไม่รู้จัก แม้จะรู้ดีว่าการเป็นเด็กดี เป็นเด็กหน้าห้องอาจจะทำให้ทำงานง่ายขึ้น แต่เขามีความเชื่อของตัวเองและตอกย้ำความเชื่อนั้นของตัวเองอยู่เสมอ นั่ยคือ “เรารู้ดีว่าเราทำงานแฟชั่นได้ดีเพราะเราเป็นแบบนี้ เพราะแฟชั่นมันต้องขบถ”
ความหัวขบถนี้ทำให้เขาได้มองเห็นคุณค่าของตัวเอง และเลือกที่จะไม่ไหลไปตามกระแสสังคม หรือสิ่งที่ภายนอกบอกให้เขาต้องทำอะไร เพราะหากเรายอมไหลไปกับสิ่งที่คนอื่นอยากให้เราเป็น ในวันที่เราอายุมากขึ้น เราอาจจะไม่ได้ภูมิใจกับสิ่งที่เราเลือกทำอะไรตามใจสังคม และหลงลืมตัวเองไปก็ได้
“เราคือคนกำหนดคุณค่าของตัวเราเอง”
ใครบางคนอาจบอกว่าเสื้อผ้าทำให้คนดูฉลาด ดังนั้นการเลือกของนอกกายจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ของใครหลายๆ คน ยิ่งทุกวันนี้โซเชียลมีเดียสร้างการเปรียบเทียบให้เราต้องยิ่งแข่งขันกันเพื่อแสดงออกว่าตัวเรามีมูลค่าเท่าไหร่ แต่สิ่งที่อาจหล่นหายไปคือคุณค่าของเราต่างหาก
ฌอนเองก็เช่นกัน ฌอนเชื่อว่าเสื้อผ้าไม่ได้ช่วยให้ใครดูสูงส่งกว่าสิ่งที่เขาเป็น ความฉลาดมันไม่ควรอยู่ที่เขาจะใส่อะไร มีเพชรกี่กะรัต เพราะสิ่งเหล่านี้คือมูลค่า ไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริง เขาเชื่อว่าคนใส่ต่างหากจะเป็นคนเล่าเรื่องตัวเขาเอง ไม่ได้เกี่ยวกับชุดที่เลือก
“คุณต้องหาคุณค่าของตัวคุณให้เจอ เพราะถ้าเรารู้จักคุณค่าของตัวเอง เราจะไม่เอาสิ่งของเหล่านั้นมายึดติด ถ้าเกิดความสุขของชีวิตคือการรอว่าผู้ชายให้ดอกไม้เยอะแค่ไหน มันก็ไม่ใช่ มันมีแค่ตัวคุณเท่านั้นที่จะให้คุณค่าตัวคุณได้”
ดังนั้นสิ่งที่ POEM ภูมิใจเสมอคือการที่มีคนที่มีอัตลักษณ์ คนที่มีความคิด คนที่เชื่อในคุณค่าของเขา เลือกที่จะใส่แบรนด์ของเขาเพื่อแสดงคุณค่าของตัวเองขึ้นมา นี่ก็เป็นอีกหนึ่งคุณค่าที่เขาเองก็อยากผลักดันให้เกิดขึ้นในสังคมอีกเยอะๆ ให้คนเชื่อมั่นและแสดงออกถึงคุณค่าของตัวเองได้
และการที่เขามองเห็นสิ่งนี้ได้ก็เป็นเพราะการตกตะกอนถึงความบาลานซ์ที่เขามองเห็นในวัย 40 ปี ที่เขาเชื่อว่า พระเจ้าอยู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะพอดีนั่นเอง
“ถ้าเราบาลานซ์ได้ เราจะข้ามโจทย์ชีวิตได้”
เชื่อว่าในช่วงชีวิตที่เราเกิดมา หลายคนอาจจะต้องเผชิญกับสภาวะที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเลือกงานที่รัก กับงานที่ได้เงินดี หรือเลือกครอบครัว กับหน้าที่การงาน ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์ยาก และเป็นความท้าทายในการใช้ชีวิต
ซึ่งฌอนเองก็บอกว่า “บางทีชีวิตของเราอาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่เรามองไม่ออกว่ามันมีองค์ประกอบสองอย่างที่ต้องบาลานซ์ให้ได้ แล้วถ้าเราบาลานซ์ได้ เราจะข้ามโจทย์หรือด่านชีวิตอันนี้ได้” สิ่งเหล่านี้เกิดจากการตกตะกอนของเขาหลังจากการเรียนรู้ในคณะสถาปัตย์ฯ ที่มีความเชื่อว่า ‘God is in details’ แต่ความเป็นขบถของเขาผสมเข้ากับประสบการณ์กว่า 18 ปี ในวงการดีไซน์ เขากลับเชื่อว่า ‘God is in porpotion’ หรือการวางบาลานซ์ให้กับทุกมิติ ทุกสัดส่วน ทุกรายละเอียดทั้งงานและชีวิต
แต่บางครั้งชีวิตก็ไม่อาจให้คำตอบได้ทันทีว่าตอนนี้อยู่ในสัดส่วนที่ดีหรือยัง ซึ่งฌอนเองก็เชื่อว่าหากเขาจะตอบคำถามนี้ได้ อาจต้องให้เวลาอีก 5 ปีในการมองย้อนกลับมา แต่แน่นอนว่าในขณะเดียวกันหากตอบถึง 5 ปีที่แล้วเขาสามารถก็ตอบได้ว่าสัดส่วนที่เขาบาลานซ์ต้องเติมอะไร และนั่นคือชีวิต คือการมองด้วยเวลา ที่ทำกลายเป็นสิ่งที่เขาใช้เตือนตัวเอง และมองชีวิตของเขามาโดยตลอด
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการเดินทางและสิ่งที่ ฌอน POEM กลั่นกรองออกมาผ่านประสบการณ์การทำงานในแวดวงแฟชั่นกว่า 18 ปี










