‘ระบบอุปถัมภ์’ หยั่งรากลึก ‘จักรภพ’ วิเคราะห์การเมืองไทย ต้องสร้างสะพานเปลี่ยนผ่าน

‘ระบบอุปถัมภ์’ หยั่งรากลึก ‘จักรภพ’ วิเคราะห์การเมืองไทย ต้องสร้างสะพานเปลี่ยนผ่าน

AIM HOUR

วิเคราะห์การเมืองไทย ผ่านสายตา ‘เอก’ จักรภพ เพ็ญแข ในวัย 57 ปี ผู้ที่เคยมีหลายบทบาท ทั้งอดีตผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์หลายช่อง เข้าสู่แวดวงการเมืองไทย ในตำแหน่งรัฐมนตรี, โฆษกรัฐบาล และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองระดับแกนนำของ ‘กลุ่มคนเสื้อแดง’ ที่เพิ่งกลับมาใช้ชีวิตในแผ่นดินเกิด หลังลี้ภัยทางการเมืองไปต่างแดนเป็นเวลา 15 ปี

จากปีแล้วปีเล่าประเทศไทยมีทั้งรัฐประหารและเลือกตั้ง ‘จักรภพ’ ยังคงติดตามความเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในรายการ AIM HOUR by TODAY ที่เผยแพร่ในวันที่ 8 มิ.ย. 67 เขามาสนทนาภาษาอังกฤษ แลกเปลี่ยนความคิดความเห็น เทียบ ‘ประชาธิปไตย’ ในสังคมไทยปัจจุบัน กับเมื่อ 15 ปีก่อน

“ผมคงต้องบอกว่าดีขึ้นครับ แต่อาจจะไม่ใช่ถึงจุดที่ผมจะบอกว่าผมสบายใจ แต่ใช่ มันก้าวหน้าขึ้น เพราะเราก็เห็มความขัดแย้งอยู่ตรงหน้าและเราไม่มีสงครามกลางเมือง เราอาจรู้สึกเหมือนมันจะเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่ได้เกิดในตอนนี้แต่เราไม่มีสงครามกลางเมือง ตอนนี้เรากำลังนั่งอย่างสงบและพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ดังนั้นผมคิดว่าเป็นความก้าวหน้าครับพื้นที่ ที่ให้เราได้ไตร่ตรองอย่างสันติเพื่อคิดอย่างผู้ใหญ่ มันขยายใหญ่ขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ‘จักรภพ’ ขยายความว่ามันดีกว่าแต่ก่อน แต่อาจจะยังไม่ดีไปทั้งหมดไม่ถึงขั้นที่ลงตัวแล้ว เรามีพรรคการเมืองใหม่ๆ ที่ผู้คนต้องการประกาศสิทธิ์ และกำหนดทิศทางที่อยากให้สังคมเป็น ในอดีตเราเคยมีพรรคการเมืองที่ก้าวหน้า แต่ตนไม่คิดว่าพรรคเหล่านั้นจะก้าวหน้ามากพอ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับ ‘พรรคก้าวไกล’ ในปัจจุบัน หรือก่อนหน้านี้ อดีตพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งตนมองว่า มันเป็นธงที่ปักอยู่ในที่ที่คนอยากจะไปให้ถึง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะไปถึงได้ หรือใครๆ ก็อยากไป หรือทุกวันนี้ยังไม่ใช่ทุกคน ดังนั้นนี่จึงเป็นสถานการณ์ที่ดูดีขึ้น ตนไม่ได้เห็นด้วยกับทุกสิ่งที่ ‘ก้าวไกล’ พูดแต่ดีใจที่มีพรรคนี้ เพราะนั่นเป็นปรากฏการณ์ที่ดีต่อสภาพการเมือง

[‘ก้าวไกล’ จะไม่มีวันได้อยู่ในอำนาจ แม้จะชนะการเลือกตั้ง?]

‘จักรภพ’ พูดถึงพรรคก้าวไกล ซึ่งถูกมองว่าเป็นเพียงความหวัง ไม่มีวันได้อยู่ในอำนาจทางการเมืองว่า ถ้าคนที่โหวตเริ่มชอบ‘ก้าวไกล’ ตอนอายุ 16 ปีและอยากให้เป็นรัฐบาลเมื่ออายุ 25 ปี พวกเขาอาจผิดหวัง เพราะเส้นทางการเมืองมันยาวไกลกว่านั้น บางครั้งผู้ริเริ่ม อาจไม่เคยได้รับอำนาจ บางครั้งอาจจะเป็นกลุ่มใหม่ในอนาคต ที่ได้รับอำนาจแทน ‘ก้าวไกล’ แม้ถูกลงโทษ แต่ความคิดนั้นยังอยู่ แล้วความคิดจะยังคงวนเวียนต่อไป

เขาชี้แจงถึงเหตุผลที่ตัวเองยังอยู่กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคลื่อนไหวช้ากว่าในบริบทการเมืองไทย แต่เราก็ต้องการการเปลี่ยนแปลงนี้ พอๆ กับการที่เราต้องการสะพานให้เดินจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งก่อนที่เราจถึงจุดหมาย เพราะมันพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า “เราไม่สามารถ ก้าวกระโดดแบบสไปเดอร์-แมนไปยังจุดนั้นได้ทันที

“คนรุ่นใหม่อยากให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเร็วมาก ขณะที่พวกเขาก็เห็นความเป็นจริงว่ามันเกิดขึ้นได้ช้ามาก ดังนั้นความแตกต่างที่แท้จริงคือการเร่งของเวลา ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ที่เราคิดว่าเรามองเห็นช่วงเวลา กรอบเวลาแตกต่างกัน ฝั่งผู้ใหญ่อยากให้การเปลี่ยนแปลงช้าลงหน่อย พวกเขาอยากโอบกอดความมั่นคงของตัวเองไว้ หรือแม้กระทั่งพยายามเอาตัวรอด ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง”

“หลายครั้งคนรุ่นใหม่ไม่เข้าใจว่า การต่อต้านของผู้ใหญ่หรือคนยุคก่อนไม่ได้เกิดจากว่า ผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการ แต่มาจากความกลัวว่าจะไม่มีที่ยืน ไม่มีบันได สำหรับพวกเขาที่จะปีนลงมาจากแท่นนั้น หรืออีกนัยหนึ่ง บางทีคนรุ่นใหม่ควรศึกษาวิธีการทำให้คนใหญ่คนโตถอดหัวโขนในแบบสันติและมีเกียรติมากขึ้น บางทีพวกเขาอาจจะยอมก็ได้”

[‘อำนาจ’ มีสถานะ ‘ชั่วคราว’]

จากประสบการณ์ที่พบเจอคนที่มี ‘อำนาจ’ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ‘จักรภพ’ ให้ความเห็น ถึง ‘ผู้เล่น’ ทางการเมืองในไทย ที่คงอยู่มายาวนาน ราว 20-30 ปี ซึ่งบางคนปัจจุบันก็ยังคงอยู่ ว่า การอยู่ในอำนาจมายาวนานขนาดนั้น ทำให้คนเหล่านั้นไม่สามารถใช้ชีวิตแบบอื่นได้ ในประเทศไทย คนมีอำนาจไม่สามารถลงจากอำนาจได้ง่ายๆ ยกตัวอย่าง วันที่ 30 กันยายน ยังอยู่ในอำนาจ แต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันแรกของการเกษียณก็จริง แต่ยังจะใช้รถลีมูซีน มีคนขับรถให้ มีคนติดตาม เพราะพวกเขาไม่ยอมถูกมองว่าสูญเสียอำนาจไปทั้งหมด ดังนั้นการถือครองอำนาจแบบนี้ ที่ทำให้คนหนึ่งรู้สึกมีอำนาจ ค่อนข้างเป็นสิ่งที่ยึดติดมากเกินไปในประเทศไทย เราสามารถปรับตัวให้เข้ากับความจริงที่ว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ การจะแก้ปัญหานี้ก็คือการทำความเข้าใจว่า อำนาจคือสถานะชั่วคราว

“ไม่มีใครมีอำนาจตลอดไป ไม่มีใครอยากให้ใครคนหนึ่งมีอำนาจตลอดไป เพราะอำนาจคือภาระ อำนาจเป็นภาระผูกพันที่กระทบบางสิ่งในเชิงบวก… แต่อำนาจจะมีวันเสื่อมทรามอย่างแน่นอน หมายความว่า ถ้าคุณมีอำนาจและไม่ทำอะไรในเชิงบวกกับมัน มันจะลากคุณไปสู่ด้านมืดของมัน เพราะนั่นคือธรรมชาติของอำนาจ เราจึงต้องพยายามเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับอำนาจ เมื่อไหร่ที่มีอำนาจ แล้วเราออกจากมัน ผู้คนต้องเริ่มชื่นชมคนที่สามารถหันหลังให้อำนาจได้ เหมือนการถอดหัวโขนครับ”

[ไม่ดีกว่าหรือ? ถ้าการเมืองไทยจะมีคนกลุ่มใหม่ แทนที่ ‘ระบบอุปถัมภ์’]  

เมื่อถูกถามถึงการเปลี่ยนหน้าผู้เล่นทางการเมืองที่สอดคล้องกับการปล่อยมือจาก ‘อำนาจ’ โดยยกตัวอย่างการเมืองสหรัฐอเมริกากับไทย จะดีกว่าหรือไม่หาก ‘ผู้เล่น’ ทางการเมืองไทย เปลี่ยนหน้าเป็นกลุ่มคนใหม่ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ ‘ระบบอุปถัมภ์’

โดยสรุป ‘จักรภพ’ ได้อธิบายเรื่องนี้ว่า สหรัฐอเมริการนั้นไม่มีใครเชื่อถือรัฐบาล เพราะทุกคนมาในฐานะผู้อพยพ ซึ่งเรียกว่าโลกใหม่ แล้วก่อตั้งระบบการเมืองตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีรัฐบาลและประธานาธิบดีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยไม่ต้องสูญเสียความเป็นมนุษย์ของตัวเองให้คนเหล่านี้ กระบวนการทั้งหมดคือความพยายามเลือกตัวแทนมา และยังจับตาดูตัวแทนอย่างใกล้ชิด จะไม่ยอมให้มีอำนาจทั้งหมดแต่เลือกให้ฐานะคนที่เหมาะสม

แต่ในประเทศไทยที่เราเป็นอยู่ ไม่มีอะไรนอกจากเหล่านักรบต่อสู้เพื่อยึดครองดินแดนและรวบรวมมัน และกลายเป็นกลุ่มตระกูลขุนนาง คนเหล่านี้คือคนที่ผูกพันกับดินแดน ที่ภายหลังมีอำนาจเข้ามาในราชอาณาจักร แนวคิดเรื่องการอุปถัมภ์ จึงฝังรากลึกสังคมไทยมาตลอด ประวัติศาสตร์ทำให้เราแตกต่างกัน เราจึงไม่สามารถเรียกร้องให้เป็นแบบเดียวกัน แต่เราสามารถพยายามเปลี่ยนแปลงได้ให้ไปอีกทางหนึ่ง

ทางสายกลางจึงจะเกิดขึ้นได้ แล้วเราก็จะรับรู้ได้เองว่ามันดีขึ้น เขาย้ำด้วยว่า รูปแบบของระบบอุปถัมภ์ เป็นระบบสังคมเดียวที่คนไทยรู้สึกคุ้นเคย เช่น ถ้าวันนี้คุณใช้โทรศัพท์มือถือไม่เก่ง คุณก็ต้องพึ่งพาให้คนอื่นมาช่วยคุณ แต่ถ้าคุณอายุ 15 และคุณใช้โทรศัพท์มือถือจนเก่ง คุณก็จะรู้สึกว่าไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ก็ได้ สองคนอาจแตกต่างกันมาก แต่ประเด็นสำคัญของการเมืองคือ จะทำให้คนสองกลุ่มอยู่ร่วมกันได้อย่างไร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พูดเรื่องการสร้างสะพานเปลี่ยนผ่าน

‘จักรภพ’ ยังแสดงความเห็นถึง ‘ผู้เล่นทางการเมือง’ ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยตอนนี้ ไล่เรียงรายบุคคล ตั้งแต่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ทักษิณ ชินวัตร และเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

พร้อมระบุถึง 3 คุณสมบัติ ที่ ‘นายกรัฐมนตรีไทย’ จะต้องมี เขาเห็นว่าสิ่งสำคัญแรก คือการยอมรับว่าเรายังต้องอยู่ในระบบอุปถัมภ์ รู้ขอบเขตของระบบประสิทธิภาพ และต้องมีแพชชั่น (Passion) อย่างมาก เพราะสังคมไทยไม่สามารถใช้แค่อำนาจในการค้ำจุนผู้คน ต้องมีความโอบอ้อมอารีและใจดีด้วย เพราะถ้าไม่มีคนก็จะไม่ชอบ

ชมคลิปบทสนทนาภาษาอังกฤษ ‘จักรภพ’ ฉบับเต็ม ที่นี่ :

แท็กที่เกี่ยวข้อง
TODAYWriterTODAY

Podcast

บทความที่เกี่ยวข้อง