วันที่ 20 พ.ค. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ใช้สิทธิ์ชี้แจง หลังจากที่ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.พรรคเศรษฐกิจใหม่ อภิปรายพ.ร.ก. 3 ฉบับที่เกี่ยวกับการเยียวยาและฟื้นฟูผลกระทบโควิด วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท โดยวิจารณ์เรื่องมาตรการการจัดการในช่วงต้นของการระบาดที่ทำอย่างล่าช้าและสับสนว่า
รัฐบาลได้ดำเนินการหลังทราบข้อมูล มีการเปิดศูนย์โดยกระทรวงสาธารณสุข มีการคัดกรองผู้เดินทางตั้งแต่ ม.ค. และมีการดำเนินการตามขั้นตอนมาตลอด

“ลองนึกภาพว่า สถานการณ์ที่เกิดนั้น ขณะนี้คนมักวิจารณ์ประวัติศาสตร์ คล้ายๆ กับว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ แต่ในขณะนั้นการประเมินติดตามสถานการณ์ทำไปทุกภาคส่วน ทุกคนประเมินสถานการณ์ว่าจะใช้มาตรการอย่างไร จึงได้เป็นการปฏิบัติตามลำดับมา ผมอาจจะเรียนในขั้นตอนนี้ไปก่อนเลยว่าเป็นการใช้ยาตามสถานการณ์ การมาบอกว่าทำไมไม่ปิดประเทศตอนนั้นในเวลานี้ ณ นาทีนั้นไม่ใช่ ผมเรียนเลยว่าไม่ใช่ ถ้าทำก็กระเทือนเศรษฐกิจมากทีเดียว แล้วก็จะมีคนมาบอกอีกว่าใช้ยาแรงเกินไป”
พล.อ.อนุพงษ์ ยังชี้แจงถึง กรณีที่นายมิ่งขวัญ บอกว่า การปิดกิจการใน กทม.กะทันหันทำให้คนจำนวนมากออกไปแพร่เชื้อในต่างจังหวัดว่า การต้องหยุดบางกิจการเพื่อไม่ให้คนไปรวมตัวกันและเสี่ยงต่อการแพร่กระจาย เป็นการใช้ยาไปตามลำดับที่เป็น ไม่ใช่พอทำแล้วเกิดผลก็มาวิจารณ์ ถ้าไม่ทำแล้วการแพร่กระจายมากขึ้นก็จะต้องเดือดร้อนกันทุกคนอีก

กรณีวิพากษ์ว่าพอปิดคนกลับต่างจังหวัด ขอเรียนว่าในการจะทำให้คนหยุดการเคลื่อนที่หรือไม่อยู่ใกล้กัน กทม.ทำได้ยากมาก อาสาสมัครสาธารณสุขจะเข้าไปตรวจตามคอนโดก็ทำไม่ได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม กทม.และปริมณฑลจึงมีผู้ติดเชื้อมาก ลำดับ 1 ของประเทศ
เมื่อประกาศหยุดกิจการมีคนออกต่างจังหวัด ฝ่ายปกครองยืนยันว่า สามารถควบคุมได้ เรามีรายงานหมดว่า คนกลับจากต่างประเทศ เราตามให้กักตัวได้ คนที่กลับจาก กทม.ที่เข้าใจว่าไปแพร่ระบาดทั่วประเทศขอเรียนใหม่ว่าไม่ใช่ เขาติดเชื้อที่ กทม.แล้วไปแสดงอาการที่ต่างจังหวัด อย่าเข้าใจว่าไประบาด ไม่มีการระบาด เราหยุดได้ด้วยการกักตัวที่ต่างจังหวัด ซึ่งต้องให้เครดิตพี่น้องประชนที่มีการควบคุมให้กักตัวอย่างเข้มแข็ง แม้เราจะคลายให้เดินทาง แต่จริงๆ เขาก็ยังอยากขอให้เข้มงวด เพราะไม่อยากให้ระบาด
ขอเรียนยืนยันว่าตนติดตามอยู่จึงทราบว่าเป็นอย่างไร ลองนึกภาพว่าถ้าเขายังอยู่ กทม. ตนนึกภาพไม่ออก ส่วนที่เหลืออยู่ก็ยังทำให้ กทม.และปริมณฑลระบาดสูงสุด
พล.อ.อนุพงษ์ ยังอธิบายถึงเรื่องเคอร์ฟิวว่า มาจากแนวคิดว่าถ้าลดการเคลื่อนย้าย คนป่วยจะน้อยลง ยืนยันไม่ใช้ประกาศเพื่อปิดการเมือง ถามว่าทำไมต้องปิดช่วงกลางคืน การประกาศปิดถ้าสูงสุดคือ ปิด 24 ชม.เหมือนเมืองอู่ฮั่น แต่กระทบด้านเศราบกิจสังคมมาก รัฐบาลจึงประกาศไปช่วงเดียวก่อน และหากเอาไม่อยู่ก็จะขยายเวลาเพิ่ม
พอเราทำแล้วประสบความสำเร็จก็มาวิจารณ์กันว่า ไอ้ที่เคอร์ฟิวเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ที่เขาจ้องการลดกลางคืน คือ กลุ่มเล่นการพนัน กลุ่มเด็กที่ชอบไปมั่วสุมกัน นั่นคือเจตนา แม้กระเทือนเศรษฐกิจบ้าง ตอนหลังก็ได้ผ่อนคลายลงมา
“ผมยืนยันว่าประเทศไทยทำสำเร็จ ผมยังไม่เคยเห็นที่ไหนที่เป็นแบบอย่างได้แบบประเทศไทย ท่านก็อย่าได้ตำหนิเลยว่า ทำไมไม่อย่างโน้น ทำไมไม่อย่างนั้น เราก็ปรับไปตามสถานการณ์ มันก็จะมีบ้างเล็กน้อยที่มีความไม่เหมือนซ่้อมละคร คุณทำละครยังต้องเทกเลย นี่มันเหตุการณ์สดก็ต้องทำกันไป แต่ด้วยความร่วมมือทุกฝ่ายมันหยุดได้จริงๆ”









