ทุกวันนี้เราต้องเผชิญทั้งเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน สังคมที่ต้องปรับตัวตลอดเวลา และภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นจนรู้สึกได้ในชีวิตประจำวันและบ่อยครั้งขึ้น คำถามคือ… เราจะอยู่รอดและเดินหน้าต่อไปได้อย่างไรท่ามกลางความผันผวนที่รายล้อมรอบตัวนี้?

บางทีคำตอบก็อาจอยู่ที่การมองหา “ทางออกที่ยั่งยืน” ซึ่งไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนนึง แต่ต้องเกิดมาจากความร่วมมือของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่ต้องมาจับมือร่วมกันขับเคลื่อน และนี่เองคือที่มาของงาน ESG Symposium 2025 เวทีที่เปิดพื้นที่ให้ผู้เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญจากหลายภาคส่วนได้มาพูดคุย แลกเปลี่ยน และร่วมกันหาคำตอบว่าเราจะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อย่างไร ให้แข่งขันได้ เข้าถึงง่าย และขับเคลื่อนได้จริง

[ เร่งปลดล็อกพลังงานสะอาด วางระบบพลังงานเสรีครบวงจร ]
ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการนโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ด้านพลังงานของประเทศอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คะแนนดัชนีเปลี่ยนผ่านพลังงาน 2024 ของไทย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก 56.5 คะแนน เป็นผลมาจากสัดส่วนพลังงานสะอาดต่ำ และแรงงานขาดทักษะสีเขียว ซึ่งความไม่ชัดเจนและล่าช้าด้านนโยบายของประเทศไทยในการเร่งเพิ่มไฟฟ้าพลังงานสะอาด อาจส่งผลให้สูญเสียความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้
พร้อมชี้ให้เห็นว่าหากภาครัฐยังไม่เร่งเปิด Third Party Access (TPA) เพื่อเร่งผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด ไทยจะสูญเสียงอะไรบ้าง?
- ด้านเศรษฐกิจ
– ภาคอุตสาหกรรมจะมีต้นทุนสูงขึ้นจากค่าไฟฟ้า และการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน
– เสี่ยงดึงดูดการลงทุนได้น้อยลง เนื่องจากขาดแคนไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพื่อรองรับความต้องการของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
– เสี่ยงต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในอนาคตที่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าพลังงานสะอาดมากขึ้น
– บริษัทไทยมีพลังงานสะอาดในการดำเนินธุรกิจไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อการรักษาตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานการผลิตของบริษัทข้ามชาติ - ด้านสังคม
– การพัฒนาธุรกิจและเทคโนโลยีสีเขียวน้อย ทำให้โอกาสการจ้างงานลดลง และจะสูญเสียโอกาสพัฒนาทักษะแรงงานรองรับเศรษฐกิจสีเขียวในอนาคต
– ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้รุนแรงขึ้น เนื่องจากแรงงานสีเขียวมีรายได้สูงกว่ากลุ่มอื่นในทุกระดับการศึกษา - ด้านสิ่งแวดล้อม
– อาจเกิดความเสี่ยงที่ไม่สามารถรักษาฐาน Data Center ในไทยได้ เนื่องจากไฟฟ้าสะอาดมีไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
– การใช้ไฟฟ้าของ Data Center อาจลดปริมาณไฟฟ้าสะอาดของอุตสาหกรรมอื่น และเพิ่มการพึ่งพาพลังงานไม่ยั่งยืน
– การปล่อย CO2 จากร่างแผน PDP สูงกว่าเป้าหมายที่จะนำพาประเทศไทยบรรลุ Net Zero
ระบบพลังงานของไทยเผชิญแรงกดดันทั้งจากเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก NDC 3.0 การตอบรับมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป และความจำเป็นในการยกระดับดัชนี Energy Transition Index เพื่อความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาค เราจึงเสนอกรอบแนวทาง ‘ชัด คล่อง เป็นจริง’ โดยมุ่งเน้นการเปิดตลาด Direct PPA ที่โปร่งใสเพื่อดึงดูดการลงทุนพลังงานหมุนเวียน การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน และไฮโดรเจน พร้อมสร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อวางรากฐาน Green Infrastructure ที่มั่นคงและยั่งยืน รวมทั้งพัฒนาแรงงานทักษะสีเขียว โดย TDRI พร้อมสนับสนุนงานวิจัยและนโยบายในทุกขั้นตอนของการเปลี่ยนผ่านนี้

[ ยกระดับ SMEs ไทย สู่พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ]
SMEs เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย การให้การสนับสนุนและยกระดับศักยภาพของ SMEs ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจเติบโต แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศอย่างยั่งยืน
ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME ไทย เผยว่า เมื่อพูดถึง SME หลาย ๆ คนมักจะไม่เห็นภาพความแตกต่าง ปัจจุบันจึงจำเป็นต้องมีการจำแนกแยกประเภทจาก SME มาเป็น MSMEs จะทำให้เห็นภาพชัดขึ้นกว่าเดิม ซึ่งภาพรวมสถานการณ์ MSMEs ในปัจจุบัน มีกำลังหลักของเศรษฐกิจไทยจำนวนกว่า 3.25 ล้านราย หรือร้อยละ 99.5% ของผู้ประกอบการ มีผลผลิตคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 35 ของ GDP ประเทศ และมีปริมาณการจ้างงานกว่า 13 ล้านคน หรือ 70% ของแรงงานภาคเอกชน แบ่งเป็นขนาด ดังนี้
– Micro (วิสาหกิจรายย่อย) : สัดส่วน 84.5% หรือจำนวนประมาณ 2.75 ล้านราย มีปริมาณการจ้างงาน ประมาณ 5.5 ล้านคน
– Large (วิสาหกิจขนาดใหญ่) : สัดส่วน 0.5% หรือจำนวนประมาณ 15,000 ราย
– Medium (วิสาหกิจขนาดกลาง) : สัดส่วน 2% หรือจำนวนประมาณ 65,000 ราย มีปริมาณการจ้างงาน ประมาณ 2.5 ล้านคน
– Small (วิสาหกิจขนาดย่อม) : สัดส่วน 13% หรือจำนวนประมาณ 420,000 ราย มีปริมาณการจ้างงาน ประมาณ 5 ล้านคน
SMEs ยังคงเผชิญกับ 4 ความท้าทายหลัก ได้แก่ การเข้าถึงแหล่งทุน โอกาสเชื่อมโยงตลาดใหม่ กฎระเบียบที่ยังซับซ้อน และขาดทักษะอนาคต ซึ่งทางสมาพันธ์ SME ไทย ได้วาง 4 แนวทางการส่งเสริมศักยภาพ SMEs เพื่อการยกระดับ SMEs สู่ความยั่งยืนและเปิดโอกาสให้เข้าสู่ตลาดแข่งขันได้จริง
- ระยะสั้น : เร่งเติมทุนหมุนเวียนให้ Micro และ Small Entrepreneurs เพื่อให้ SMEs เข้าถึงเงินทุน ความรู้ และเทคโนโลยีได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยการสร้างช่องทางการเงินใหม่ ๆ ที่ไม่ผูกติดอยู่กับระบบธนาคารที่มีความเข้มงวดต่อการพิจารณาสินเชื่อสูง เช่น กองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Micro & Small Entrepreneurs) ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ 3-4% ต่อปี เพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับตัว และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันต่อไป
- ระยะกลาง : เพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีสีเขียวและดิจิทัล พัฒนาทักษะแรงงานผ่านการอบรมและ Skill Matching เตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงของตลาด และสร้างโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ เช่น ตลาดต่างประเทศ รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่มาร่วมสนับสนุนศักยภาพ เช่น มาตรการในการลดต้นทุน และเสริมความรู้ทางการเงิน, ส่งเสริมการรวมกลุ่มในรูปแบบ Clusters เพื่อให้ภาครัฐเข้ามาช่วยได้ง่ายขึ้น
- ระยะยาว : ปรับกฎระเบียบที่ไม่เอื้อต่อการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงการสร้างความร่วมมือ และบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาว ตลอดจนการสร้าง One Stop Service และ Ecosystem ครบวงจร ที่เชื่อมโยงแผนพัฒนาระดับชาติและวาระลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้ SMEs เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน
- สนับสนุน SMEs แต่ละขนาดอย่างเหมาะสม เนื่องจาก Micro, Small และ Medium ต้องการการสนับสนุนที่แตกต่างกัน

[ เตรียมความพร้อมรับมือโลกรวน ]
หลายคนอาจมองว่า “อีก 25 ปี กรุงเทพฯ จะจมน้ำ” เป็นเรื่องไกลตัว เพราะยังเหลือเวลาอีกตั้งนาน แต่ในความเป็นจริง การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ใช่สิ่งที่ทำแล้วเสร็จได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี มันต้องอาศัยเวลาเป็นสิบปีควบคู่กับการลงมืออย่างต่อเนื่อง นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการเตรียมพร้อมรับมือโลกรวนถึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ใกล้ตัวเราทุกคน และต้องเริ่มขับเคลื่อนตั้งแต่วันนี้
ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เผยว่า ในงาน ESG Symposium 2025 ได้เห็นทั้งโอกาสและปัญหา ในมุมของเอสซีจีเอง พยายามผลักดันและทำให้เห็นในเรื่องของ Energy Transition และ Industry Transition ผ่านนวัตกรรมต่าง ๆ ของเอสซีจี อีกทั้งยังมีบทบาทในการช่วย SMEs โดยให้ความรู้เพื่อนำไปปรับตัวในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ส่วนที่น่ากังวลอีกเรื่องคือการเตรียมความพร้อมในการรับมือวิกฤตโลกรวน (Climate Adaptation) เป็นโจทย์เร่งด่วนที่ประเทศต้องเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพราะผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และความผันผวนของทรัพยากร กำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต และความมั่นคงของประเทศ การเร่งเตรียมพร้อมอย่างรอบด้านจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นโดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และองค์ความรู้มาใช้ ยกระดับความสามารถในการปรับตัว ลดความเสี่ยง และสร้างภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบ
เอสซีจีนำข้อเสนอจาก ESG Symposium 2025 มาลงมือทำจริง ไม่ใช่แค่พูดคุยบนเวที แต่ได้ถ่ายทอดความรู้และทดลองแนวคิดผ่านโครงการนำร่อง PPP สระบุรีแซนด์บ็อกซ์ ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ในการพาไทยให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2065

ทั้งการเร่งปลดล็อกพลังงานสะอาดไทย การส่งเสริมศักยภาพ SMEs และการเตรียมพร้อมรับมือโลกรวน เป็นเรื่องใกล้ตัวที่ส่งผลต่อชีวิตและเศรษฐกิจของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องที่ปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจัดการได้แต่เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อมรับมือทุกความเปลี่ยนแปลงในอนาคตไปด้วยกัน










