“ถ้าโลกไม่รอด กีฬาในอนาคตก็อาจไม่รอดเช่นกัน” Nike รู้เรื่องนี้ดี และนี่คือจุดเริ่มต้นของภารกิจ Move to Zero
รองเท้าคู่หนึ่ง อาจดูเหมือนเป็นเพียงของใช้ธรรมดาในชีวิตประจำวัน แต่สำหรับ Nike แบรนด์ที่เชื่อว่า ‘ทุกก้าวของมนุษย์มีพลังเปลี่ยนโลก’ รองเท้าไม่ได้เป็นแค่สินค้า แต่คืออุปกรณ์ที่พามนุษย์ก้าวข้ามขีดจำกัด สัญลักษณ์ของความฝัน ความพยายาม และแรงขับเคลื่อนของนักกีฬาในทุกสนาม
และเพราะ ‘กีฬา’ คือหัวใจของแบรนด์ Nike จึงมองเห็นชัดเจนว่า ‘การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ’ (Climate Change) ไม่ได้คุกคามแค่ธรรมชาติ แต่กำลังคุกคามกีฬาอย่างตรงไปตรงมา สนามที่ร้อนเกินจะซ้อม คุณภาพอากาศที่ถดถอยจนกระทบสมรรถภาพผู้เล่น และการแข่งขันจำนวนมากทั่วโลกที่ต้องเลื่อนเพราะสภาพอากาศสุดขั้ว ทั้งหมดนี้คือสัญญาณว่า เมื่อโลกเปลี่ยน กีฬาในอนาคตก็เปลี่ยนตาม
ดังนั้น หากอยากปกป้องกีฬา ก็ต้องปกป้องโลกก่อน นี่คือเหตุผลที่ Nike เปิดภารกิจ ‘Move to Zero’ เส้นทางมุ่งสู่การลดคาร์บอนและลดขยะให้ ‘ใกล้ศูนย์ที่สุด’ เท่าที่เป็นไปได้ โดยตั้งเป้าหมายสำคัญภายในปี 2030 คือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ Scope 1 และ Scope 2 ลงราว 65% (เทียบฐานปี 2015) และ ลดการปล่อยจากซัพพลายเชน (Scope 3) ลงประมาณ 30% ขณะเดียวกันก็เริ่มเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจาก ‘ขายแล้วจบ’ ไปสู่ระบบซ่อม–รีเฟอร์บิชด์–รีไซเคิล เพื่อยืดอายุรองเท้าทุกคู่ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
สำหรับ Nike ความยั่งยืนไม่ใช่ภาพลักษณ์ แต่คือการรักษาสนามที่มนุษย์ใช้วิ่ง เล่น แข่งขัน และเดินตามความฝัน ยิ่งมองโลกวันนี้อย่างจริงจัง Nike ยิ่งเห็นชัดว่า อนาคตของรองเท้า ผูกอยู่กับอนาคตของโลกมากกว่าที่เคยคิด จนคำถามธรรมดาๆ กลายเป็นคำถามใหญ่ของแบรนด์ว่า “รองเท้าคู่หนึ่ง ควรสร้างผลกระทบต่อโลกมากแค่ไหน?”
จากปัญหาที่ ‘หลีกไม่พ้น’ สู่การลงมือที่ ‘เลี่ยงไม่ได้’
เมื่อ Nike มองภาพรวมของโลกกีฬาอย่างจริงจัง สิ่งที่เห็นชัดที่สุดไม่ใช่จำนวนเหรียญหรือสถิติใหม่ แต่คือ ‘เส้นกราฟอุณหภูมิที่สูงขึ้นในระยะยาว’ และ ‘คุณภาพอากาศที่ถดถอยลงในหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก’ ซึ่งกำลังกดดันกีฬาให้เปลี่ยนสภาพไปทีละน้อย ตั้งแต่สนามที่ร้อนเกินจะซ้อม ไปจนถึงวันที่ค่าฝุ่นและมลพิษทำให้การออกกำลังกายกลางแจ้งกลายเป็นความเสี่ยงมากกว่าความสนุก
นี่คือข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศและสุขภาพที่ Nike ใช้เป็นกรอบร่วมกับนักวิทยาศาสตร์และองค์ความรู้จากภายนอก และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้บริษัทสรุปว่า ‘กีฬาจะไม่มีอนาคต ถ้าโลกไม่มีอนาคต’ ซึ่งหมายความว่า หากต้องการปกป้องหัวใจของแบรนด์ Nike ก็ต้องร่วมปกป้องโลกด้วย
ด้วยเหตุนี้ Move to Zero จึงไม่ได้ถูกมองเป็นแค่โครงการสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร แต่เป็น ‘ยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอดของกีฬา’ โดยตั้งเป้าตรงไปตรงมาว่า Nike ต้องลดผลกระทบต่อโลกให้เข้าใกล้ ‘ศูนย์’ ให้มากที่สุด ทั้งในมิติของคาร์บอนและของเสีย ผ่านกรอบเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศปี 2030 ที่บริษัทประกาศไว้ชัดเจน เพราะทุกกิโลคาร์บอนที่ลดลงวันนี้ อาจหมายถึงการช่วยไม่ให้สภาพอากาศสุดขั้วส่งผลกระทบต่อสนามแข่งในวันพรุ่งนี้
จากคำถามง่าย ๆ ว่า “เราจะทำรองเท้าที่ดีขึ้นได้อย่างไร?” Nike จึงขยับไปสู่คำถามที่ใหญ่กว่า
“เราจะทำให้โลกยังดีพอสำหรับให้มนุษย์เล่นกีฬาได้ต่อไปอย่างไร?”
คำถามนี้เองที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างตั้งแต่วัสดุที่เลือกใช้ วิธีผลิต วิธีออกแบบอายุการใช้งานของรองเท้า ไปจนถึงระบบรีไซเคิลหลังจบวงจรชีวิตของสินค้า ภารกิจ Move to Zero จึงกลายเป็น ‘การผ่าตัดทั้งระบบ’ ของแบรนด์ ไม่ใช่การปรับปลายทางเพียงเล็กน้อย
แผนลดผลกระทบต่อโลก เริ่มจากรองเท้าคู่เดียว
ภารกิจ Move to Zero เริ่มต้นจากรากของปัญหา—ทั้งคาร์บอน ขยะ น้ำ และเคมีภัณฑ์—องค์ประกอบที่ทำให้รองเท้าหนึ่งคู่มีผลต่อโลกมากกว่าที่คนส่วนใหญ่เห็น
Nike จึงเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงงานหลัก ปรับวัสดุอย่างโฟมและผ้าให้มีคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำลง พัฒนาเทคโนโลยี Air ให้ใช้วัสดุน้อยลงแต่รองรับแรงกระแทกได้ดีขึ้น และจัดระเบียบซัพพลายเชนใหม่เพื่อลดรอยเท้าคาร์บอนในทุกขั้นตอนของการผลิต
แต่ในอีกด้านหนึ่ง Nike ก็รู้ว่า ‘ซัพพลายเชนระดับโลก’ ไม่ได้เปลี่ยนได้ชั่วข้ามคืน การควบคุมมาตรฐานสิ่งแวดล้อมในโรงงานคู่ค้าที่อยู่ในหลายประเทศยังเป็นความท้าทายสำคัญ บริษัทจึงต้องเดินหน้าผลักดันความโปร่งใส การตรวจสอบ และการยกระดับมาตรฐานร่วมกับผู้ผลิตทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
ด้านขยะ Nike เลือกวิธี ‘ไม่ให้เกิดตั้งแต่ต้นทาง’ โดยเพิ่มสัดส่วนวัสดุรีไซเคิลในสินค้า ปรับโรงงานสู่แนวคิด Zero Waste ให้ได้มากที่สุด และเปลี่ยนเศษวัสดุทุกชิ้นให้กลายเป็น ‘Nike Grind’ เพื่อนำกลับไปทำพื้นสนามหรืออุปกรณ์กีฬา ขณะที่รองเท้ารุ่นใหม่ก็ถูกออกแบบให้ถอดง่าย ซ่อมง่าย และรีไซเคิลง่ายตั้งแต่แรก เพื่อยืดอายุการใช้งานจริงให้ยาวที่สุด
ในกระบวนการผลิตผ้าและย้อมสี—หนึ่งในขั้นตอนที่ใช้น้ำและพลังงานสูงที่สุด—Nike ใช้เทคโนโลยี ColorDry ที่ย้อมผ้าโดยไม่ต้องใช้น้ำ ควบคุมมาตรฐานสารเคมีอย่างเข้มงวด และตรวจสอบซัพพลายเออร์ทุกรายอย่างละเอียด เพราะสำหรับ Nike รองเท้าที่ดี ไม่ควรทำร้ายโลกแม้กระทั่งในขั้นตอนที่ผู้เล่นมองไม่เห็น
ทั้งหมดนี้จึงไม่ใช่มาตรการระดับแคมเปญ แต่คือการเปลี่ยนโครงสร้างของแบรนด์จาก ‘ผู้ผลิตรองเท้า’ ไปสู่ ‘ผู้ปกป้องอนาคตของกีฬา’ อย่างเป็นระบบ
จาก ‘ขายแล้วจบ’ สู่รองเท้าที่มีชีวิตยืนยาวกว่าเดิม
คำถามต่อมาที่ Nike ตั้งกับตัวเองคือ รองเท้าหนึ่งคู่ควรมี ‘ชีวิตยาวกว่านี้’ ได้ไหม?
คำถามนี้นำไปสู่การสร้างระบบซ่อม–รีเฟอร์บิชด์–รีไซเคิลในหลายตลาดทั่วโลก ผ่านโปรแกรมอย่าง Nike Refurbished ซึ่งรับรองเท้าที่ถูกคืน (ทั้งสภาพ like new, gently worn และคู่ที่มีตำหนิเล็กน้อย) มาตรวจสภาพ ทำความสะอาด รีเฟอร์บิชด์ แล้วนำกลับไปจำหน่ายในราคาที่เข้าถึงได้ ทำให้รองเท้าหนึ่งคู่ถูกใช้ยาวขึ้น แทนที่จะถูกส่งตรงไปยังหลุมฝังกลบ
ควบคู่กันนั้น Nike ยังออกแบบรองเท้ารุ่นใหม่ให้ ‘ซ่อมง่ายและถอดง่าย’ มากขึ้น เพื่อให้ในอนาคตการแกะชิ้นส่วนและรีไซเคิลทำได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่ตอนขาย แต่ฝังอยู่ตั้งแต่การออกแบบ ตัวรองเท้า ไปจนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการใช้งาน
ในโรงงาน เศษวัสดุที่เคยเป็นของเหลือก็ถูกดึงกลับเข้าสู่ระบบผลิต กลายเป็น Nike Grind จากยาง โฟม ผ้า หนัง และเส้นใยส่วนเกิน แล้วถูกนำไปสร้างพื้นสนาม บอร์ดกีฬา อุปกรณ์ฟิตเนส หรือแม้แต่กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่อีกครั้ง
เมื่อระบบทั้งหมดเชื่อมกัน ทำให้วันนี้ Nike ค่อย ๆ เปลี่ยนจากแบรนด์ขายรองเท้า ไปสู่แบรนด์ที่ ‘ดูแลวงจรชีวิตของรองเท้าทั้งคู่’ ตั้งแต่เริ่มผลิตจนถึงวันสุดท้ายของการใช้งานจริง และยิ่งวงจรนี้ยาวขึ้น โลกก็ต้องแบกรับภาระจากรองเท้าแต่ละคู่ลดลงตามไปด้วย
เพราะสำหรับ Nike รองเท้าที่ดี ไม่ได้จบแค่วันที่เราสวม แต่มันคือการออกแบบอนาคตที่โลกใบนี้จะต้องอยู่ร่วมกับมันไปอีกหลายสิบปี
นวัตกรรมวัสดุใหม่ ทำให้รองเท้าคู่หนึ่งเบาลงกว่าที่เคย
เมื่อ Nike ตั้งคำถามว่า ‘รองเท้าคู่หนึ่งควรสร้างผลกระทบต่อโลกเท่าไร’ คำตอบจึงไม่ใช่แค่ผลิตให้น้อยลงหรือยืดอายุการใช้งาน แต่คือ ‘การออกแบบใหม่ตั้งแต่ต้นทาง’ เพื่อให้ทุกส่วนของรองเท้ามีน้ำหนักต่อโลกเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
Nike ย้อนกลับไปสำรวจวัสดุทุกชิ้นในรองเท้า และพบว่าการเปลี่ยนวัสดุเพียงอย่างเดียวสามารถลดคาร์บอนได้มหาศาล จึงนำไปสู่การปรับวัสดุครั้งใหญ่ ตั้งแต่โฟมสูตรใหม่ ผ้าที่มีคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำลง ไปจนถึงการออกแบบโครงสร้าง Air รุ่นใหม่ๆ ที่ใช้วัสดุน้อยลงแต่รองรับแรงกระแทกได้ดีกว่าเดิม
ผลลัพธ์คือ รองเท้าคู่หนึ่งไม่ได้ ‘ดีขึ้นสำหรับคนสวม’ เพียงอย่างเดียว แต่ดีขึ้นสำหรับโลกด้วย เพราะทรัพยากรที่ใช้ลดลง คาร์บอนปล่อยน้อยลง และขยะในวันสุดท้ายของอายุใช้งานก็ลดลงตาม เมื่อวัสดุใหม่ทำงานร่วมกับระบบรีไซเคิลและ Nike Grind รองเท้าทุกคู่จึงกลายเป็น ‘สินทรัพย์หมุนเวียน’ มากกว่าสินค้าที่ใช้ครั้งเดียวแล้วจบ
ในมุมของ Nike นี่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนวัสดุ แต่คือการเปลี่ยนความหมายของคำว่า ‘นวัตกรรม’ จากเดิมที่เน้นความเร็ว น้ำหนักเบา หรือประสิทธิภาพสูงสุด สู่คำที่รวม ‘ความรับผิดชอบต่อโลก’ เข้าไปด้วย และนี่คือทิศทางที่ทำให้แบรนด์เดินเข้าใกล้อนาคตที่ยั่งยืนขึ้นในทุกปี
เพราะสุดท้ายแล้ว รองเท้าที่วิ่งได้เร็วขึ้น อาจไม่สำคัญเท่ารองเท้าที่ทำให้โลกยังเป็นสนามให้มนุษย์วิ่งต่อไปได้อีกนาน










