explainer การเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้จบลงแล้ว พรรคฝั่งรัฐบาลเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ประชาชนโหวตลงคะแนนเสียงให้ตัวแทนจากฝ่ายค้าน ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศในสมัยหน้า
ความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย คืออำนาจอยู่ในมือประชาชน ถ้าหากมองว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันยังบริหารงานไม่ดีพอ ในการเลือกตั้งสมัยต่อไป ประชาชนก็จะไปเลือกตัวแทนจากพรรคอื่นเพื่อมาทำหน้าที่ดูบ้าง workpointTODAY สรุปการเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ แบบเข้าใจง่ายใน 19 ข้อ
1) ประเทศเกาหลี ในอดีตปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ แต่ในปี 1910 ญี่ปุ่นมายึดเกาหลีเป็นเมืองขึ้น ทำให้ระบอบกษัตริย์จึงถูกล้มเลิกไป
ญี่ปุ่นยึดเกาหลี 35 ปีเต็ม จนถึงปี 1945 เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก เกาหลีจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนเหนือ สหภาพโซเวียตรับเอาไปดูแล และส่วนใต้ สหรัฐอเมริการับเอาไปดูแล
2) ในฝั่งเกาหลีใต้ เมื่อสหรัฐฯ รับผิดชอบเอาไปดูแล จึงปลูกฝังแนวคิดประชาธิปไตยให้ พร้อมกับแนะแนวทางในการเลือกผู้นำประเทศ ด้วยการโหวตหาประธานาธิบดี โดยเกาหลีใต้ในช่วงแรก จะเลือกประธานาธิบดีทุกๆ 4 ปี เหมือนที่สหรัฐฯ ทุกอย่าง
3) เกาหลีใต้ เปลี่ยนแนวทางการเลือกประธานาธิบดีมาหลายแบบ เช่น บางช่วงให้ ส.ส. เลือก แต่นับจากปี 1987 เป็นต้นมา เกาหลีใต้ใช้ระบบ Popular Vote คือให้ประชาชนเลือกประธานาธิบดีโดยตรง ผู้สมัครคนไหนได้คะแนนเสียงเยอะที่สุด ก็เป็นผู้นำประเทศ ทุกอย่างเรียบง่าย ตรงไปตรงมา
โดยการเลือกประธานาธิบดี 1 ครั้ง ผู้ชนะจะอยู่ในวาระ 5 ปี และจะสามารถเป็นประธานาธิบดีได้แค่ 1 สมัยเท่านั้น ไม่สามารถลงซ้ำป้องกันตำแหน่งได้ เพื่อป้องกันการผูกขาด
4) ในการเลือกตั้งปี 2012 พัก กึน-ฮเย จากพรรคลิเบอร์ตี้ ที่มีแนวทางอนุรักษนิยม คว้าชัยชนะ ได้เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ประเทศ อย่างไรก็ตาม เธอไปมีส่วนพัวพันกับการทุจริต ทำให้ถูกสภายื่นเรื่อง Impeachment หรือทำการถอดถอน จนต้องหลุดจากตำแหน่งก่อนครบวาระ และโดนคดีอาญาตามมาอีกด้วย
5) เมื่อคนจากพรรคลิเบอร์ตี้ ที่เป็นฝั่งอนุรักษ์นิยม ไปมีส่วนพัวพันกับการทุจริตแบบนี้ ทำให้ในการเลือกตั้งหาประธานาธิบดีคนใหม่ในปี 2017 ประชาชนจึงลงโทษพรรคลิเบอร์ตี้ ด้วยการไปเลือก มุน แจ-อิน ตัวแทนจากพรรคประชาธิปไตย (Democratic) ที่มีจุดยืนทางการเมืองคือฝั่งซ้าย ด้วยคะแนนเสียงแบบแลนด์สไลด์
มุน แจ-อิน ได้คะแนนเสียง 41.1% ส่วน ฮอง จุน-พโย จากพรรคลิเบอร์ตี้ ได้คะแนนเพียง 24.0% เท่านั้น เป็นช่องว่างคะแนนที่ห่างกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่เกาหลีใต้ปรับมาใช้รูปแบบ Popular Vote นี่คือการตอบโต้ของประชาชน พรรคไหนที่มีส่วนพัวพันกับการทุจริต ก็จะไม่ยอมเลือก แล้วไปกาให้คนจากอีกพรรคแทน
ในปี 2017 มุน แจ-อิน จึงได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ ถือเป็นการเปลี่ยนขั้วจากอนุรักษ์นิยม มาเป็นเสรีนิยมแทน
6) ความเห็นต่อประธานาธิบดี มุน แจ-อิน ที่เกาหลีใต้แบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือชื่นชอบ โดยเฉพาะฝีมือในการบริหารงานช่วงโควิด-19 ที่ดี เกาหลีใต้เป็นชาติพัฒนาแล้วที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด น้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแค่นิวซีแลนด์เท่านั้น
นอกจากนั้นมุน แจ-อิน ยังส่งเสริมอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างเต็มรูปแบบ ในช่วง 5 ปีของเขาที่เป็นประธานาธิบดี มีภาพยนตร์และซีรีส์ จำนวนมากที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐ รวมถึงกล่าวถึงความเหลื่อมล้ำในประเทศ แต่ภาครัฐก็ไม่ได้ห้ามปราม ตรงข้าม กลับส่งเสริมให้มีอิสระเต็มที่ จนเป็นที่มาของการคว้ารางวัลออสการ์ของ Parasite รวมถึงการบูมของซีรีส์ชื่อดัง Squid Game
7) แม้จะมีคนบางกลุ่มที่ชื่นชอบ แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งวิจารณ์การทำงานอย่างเผ็ดร้อน ว่ามุน แจ-อิน และพรรคประชาธิปไตย ยังไม่ดีพอที่จะเป็นผู้นำประเทศในวาระต่อไป
The Economist วิจารณ์ว่า “ประธานาธิบดีมุน แจ-อิน สัญญาไว้ตอนหาเสียงว่า จะยุติสายสัมพันธ์ของนักการเมืองกับกลุ่มธุรกิจให้ได้ จะทำการย้ายออฟฟิศประธานาธิบดี จาก Blue House ที่อยู่ห่างจากตัวเมือง เข้ามาอยู่ใจกลางเมืองแทน จะสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงขึ้นสำหรับประชาชนในประเทศ นอกจากนั้นจะนำพาความสงบสุขมาสู่คาบสมุทรเกาหลีด้วย”
“แต่หลังจากผ่านไป 5 ปี เขาไม่สามารถทำอะไรที่สัญญาไว้ได้สักอย่าง ปัจจุบันประธานาธิบดีก็ยังอยู่ที่ Blue House ที่เดิม เขาปล่อยให้อี แจ-ยอง ทายาทรุ่น 3 ของซัมซุง ที่มีคดีติดสินบน รอดพ้นคุกด้วยการทำทัณฑ์บน ส่วนเรื่องเศรษฐกิจก็ใช่ว่าจะดี นักศึกษาจบมาแล้วหางานทำยากลำบาก ส่วนความสงบกับเกาหลีเหนือก็ไม่เกิดขึ้น ทุกวันนี้เกาหลีเหนือขยายคลังอาวุธมิสไซล์ และหัวรบนิวเคลียร์ ไม่มีทีท่าว่าความสงบในคาบสมุทรเกาหลีจะมีในเร็ววันนี้”
8 ) เมื่อมุน แจ-อิน มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทำให้ประชาชนจึงแตกเป็นสองฝ่าย บางกลุ่มบอกว่าจะลองเลือกพรรคเดิมต่อเพราะเห็นใจที่ต้องมาบริหารประเทศในช่วงโควิดพอดี แต่อีกส่วนบอกว่า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เมื่อทำตามที่หาเสียงไว้ไม่ได้ ก็ควรให้โอกาสพรรคใหม่ดูบ้าง
9) การเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ประจำปี 2022 มี 2 ผู้สมัครที่เป็นแคนดิเดทคนสำคัญ ได้แก่ อี แจ-มยอง จากพรรคประชาธิปไตย พรรคเดียวกับมุน แจ-อิน ที่มีจุดยืนคือเสรีนิยม เป็นฝ่ายซ้าย และอีกคนคือ ยุน ซอก-ยอล จากพรรคพลังประชาชน (People Power Party) ที่เป็นฝ่ายขวา อนุรักษ์นิยม ปัญหาคือ ทั้ง 2 คนไม่มีใครที่เพอร์เฟ็กต์ ต่างมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งคู่
10) อี แจ-มยอง (57 ปี) เป็นอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดกยองกี เขาได้รับฉายาว่าเป็นขวัญใจชนชั้นแรงงาน เพราะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน พ่อติดการพนัน และตัวเขาเองก็เคยทำงานในโรงงานผลิตถุงมือมาก่อน ดังนั้นจึงตั้งเป้าหมายจะสร้างความเท่าเทียมในสังคมขึ้น ให้ผู้มีรายได้น้อยได้ลืมตาอ้าปาก ขณะที่นโยบายของเขาก็โดนใจวัยรุ่น เช่น เตรียมออกกฎหมาย Free School Uniform ไม่บังคับเด็กใส่ชุดนักเรียน เป็นต้น
แต่อี แจ-มยอง มีจุดอ่อนคือ เขามีข่าวพัวพันกับการทุจริตเรื่องการอนุญาตสร้างอสังหาริมทรัพย์ ในสมัยที่เขาเป็นนายกเทศมนตรี เขตซองนัม และที่เป็นปริศนาคือ พยานที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้น 3 คน ต้องเสียชีวิตอย่างลึกลับ แม้จะสาวเรื่องไปถึงเขาไม่ได้ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่า จริงๆ แล้วเขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องก็เป็นได้
จากนั้นในช่วงเริ่มการหาเสียงเลือกประธานาธิบดี เขาโดนสื่อมวลชนจี้คำถามเรื่องความสัมพันธ์กับกลุ่มมาเฟีย แต่อี แจ-มยอง เลี่ยงที่จะตอบคำถามดังกล่าว
นอกจากนั้น ภรรยาของอี แจ-มยอง ยังเคยถูกกล่าวหาว่าใช้งบประมาณรัฐ ไปรูดบัตรเครดิตเพื่อเอาไปใช้จ่ายส่วนตัว ในขณะที่สามีอยู่ในตำแหน่งผู้ว่าฯ อีกด้วย ถือว่ามีจุดด่างพร้อยให้สื่อได้เล่นงานอยู่เหมือนกัน
11) ในขณะที่คู่แข่ง ยุน ซอก-ยอล (61 ปี) ไม่เคยเล่นการเมืองมาก่อน เขาเป็นอัยการสูงสุดของเกาหลีใต้ และเป็นคนทำคดีทุจริตของอดีตประธานาธิบดี พัก กึน-ฮเย
ด้วยผลงานที่จับต้องได้ ทำให้ยุน ซอก-ยอล มีภาพลักษณ์ของข้าราชการที่ซื่อสัตย์ ผู้คนเชื่อว่า คนที่ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยมาตลอดอาชีพ ก็จะรักษามาตรฐานเอาไว้ได้ ถ้าหากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี
หาก อี แจ-มยอง เป็นขวัญใจคนยาก ยุน ซอก-ยอล ก็เป็นขวัญใจของชนชั้นกลางขึ้นไป เขามีภาพลักษณ์ที่ยอดเยี่ยม พ่อเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยยอนเซ แม่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยหญิงอีหวา ส่วนตัวเขาเรียนจบนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโซล หนึ่งใน 3 สถาบันของ กลุ่ม SKY ที่ถือว่าดีเลิศที่สุดในประเทศ
ชิน กี-วุค ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด อธิบายว่า ยุน ซอก-ยอล เป็น “ไอคอน” ของประชาชนสายอนุรักษ์นิยม เพราะเป็นคนเดียวที่มีแนวโน้มจะโค่นล้มผู้สมัครจากฝ่ายเสรีนิยมได้
แต่ ยุน ซอก-ยอล ก็มีแผลเยอะเช่นกัน เขาโดนสังคมโลกวิจารณ์ว่าเป็นพวก Anti-Feminist หรือต่อต้านสิทธิสตรี เพราะประกาศชัดเจนว่านโยบายหลักของเขาคือการยุบกระทรวงความเท่าเทียมทางเพศและครอบครัว เพราะมองว่าการมีอยู่ของกระทรวง เป็นการส่งเสริมความไม่เท่าเทียมเสียมากกว่า
12) อธิบายคือที่เกาหลีใต้ มีกลุ่มผู้ชายจำนวนมาก ที่มองว่าตัวเองจำเป็นต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารอย่างน้อย 2 ปี เสียโอกาสในชีวิตไปตั้งมากมาย แต่ภาครัฐยังให้สิทธิพิเศษกับเพศหญิงผ่านทางกระทรวงความเท่าเทียมทางเพศและครอบครัวอีก ดังนั้นไม่อยากให้ภาครัฐเพิ่มข้อได้เปรียบให้เพศหญิงอีก พอนโยบายของยุน ซอก-ยอล ประกาศว่าจะยุบกระทรวง จึงไปโดนใจฐานเสียงของผู้ชายวัยรุ่น และในวัยทำงานแล้วจำนวนมาก
นอกจากนั้น ยุน ซอก-ยอล เตรียมจะออกกฎหมาย “เพิ่มโทษ” ให้กับคนที่แจ้งความเท็จในคดีอาชญากรรมทางเพศ ซึ่งในเรื่องนี้บางคนก็เห็นด้วย เพราะมีข่าวผู้หญิงโกหกตำรวจว่าโดนข่มขืน จนทำให้ชื่อเสียงของฝ่ายชายที่โดนกล่าวหาด่างพร้อยไปตลอดชีวิต แต่บางคนก็ไม่เห็นด้วยที่จะเพิ่มโทษ เพราะแบบนี้ฝ่ายหญิงที่โดนกระทำอาจจะไม่กล้าเปิดออกมาต่อสู้ เพราะถ้าแจ้งความแล้วไม่มีหลักฐานเอาผิดได้ ตัวเองก็อาจโดนลงโทษสถานหนักจากภาครัฐ
13) ด้วยนโยบายที่แข็งกร้าว ทำให้ยุน ซอก-ยอล ถูกต่อต้านจากกลุ่มสิทธิสตรีที่เกาหลีใต้ สาเหตุเพราะปัจจุบัน เกาหลีเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ที่คนสองเพศมีรายได้ห่างกันมากที่สุดในโลก (ห่างกัน 32%) รวมถึงในสภาผู้แทนราษฎร มี ส.ส.หญิงแค่ 19% เท่านั้น ยังไม่นับวิถีชีวิตทั่วๆ ไป ที่ผู้หญิงมักได้รับความเสียเปรียบมากกว่าฝ่ายชาย มีฝ่ายหญิงจำนวนมากที่โดนแอบถ่ายวีดีโอลับ เอาไปแบล็คเมล์ในอินเตอร์เน็ต ดังนั้นถ้าต้องมายุบกระทรวงความเท่าเทียมทางเพศฯ อีก แปลว่าฝ่ายหญิงก็จะโดนกดทับหนักยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก
14) ดังนั้นการเลือกตั้งในครั้งนี้ จึงเป็นการต่อสู้กันของจุดยืนทางการเมืองของประเทศด้วยว่า คนส่วนใหญ่เห็นอย่างไรกับเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ถ้าหากคนส่วนใหญ่มองว่าฝ่ายชายที่ต้องไปออกรบ ควรได้รับสิทธิพิเศษบางอย่างมากกว่า ก็จะเลือก ยุน ซอก-ยอล ที่เป็นฝ่ายขวา แต่ถ้ามองว่าคนสองเพศควรได้รับสิทธิต่างๆ ที่เท่าเทียมกัน ก็จะเทคะแนนไปเลือก อี แจ-มยอง ที่เป็นฝั่งซ้ายแทน
15) เมื่อผู้สมัครทั้งสองคน ไม่มีใครดีพร้อม ต่างคนต่างมีแผล ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ ถูกวิจารณ์ว่าประชาชนแค่ต้องเลือกว่า “ใครแย่น้อยกว่า” เท่านั้น พัก แซง-อิน ศาสตราจารย์วิชาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยโซลกล่าวว่า “นี่เป็นการเลือกตั้งที่มีแต่การโจมตีจุดด้อยของฝั่งตรงข้าม มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่การเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้ชนะจะเป็นคนที่สังคมเกลียดน้อยกว่าเพียงแค่นั้น”
16) วันที่ 9 มีนาคม การเลือกตั้งประธานาธิบดีมาถึง ทั้ง 2 คนทำแต้มไล่บี้กันอย่างเข้มข้น ท่ามกลางผู้ออกมาใช้สิทธิ์สูงถึง 77.1% ของประชากรทั้งประเทศ ปรากฏว่าผู้ชนะคือ ยุน ซอก-ยอล ได้คะแนนโหวตไป 16.39 ล้านคะแนน ส่วนคู่แข่ง อี แจ-มยอง ได้คะแนนโหวต 16.14 ล้านคะแนน นี่เป็นการต่อสู้ที่สูสีที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งเกาหลีใต้ เพราะช่องว่างระหว่างกันของทั้งคู่ ห่างกันไม่ถึง 1% เท่านั้น
เดอะ การ์เดี้ยน สื่ออังกฤษ วิเคราะห์ว่า ผู้คนหักลบเหตุผลแล้ว ตัดสินใจเปลี่ยนพรรคดีกว่า เพราะในช่วง 5 ปี ของพรรคประชาธิปไตยไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หลายอย่าง เช่น ราคาบ้านในโซลที่พุ่งสูงขึ้น จนมนุษย์เงินเดือนธรรมดาไม่สามารถหาซื้อได้แล้ว เช่นเดียวกับ เรื่องการจ้างงานที่คนจบมาแล้วหางานทำไม่ได้ คือไม่รู้ว่า ยุน ซอก-ยอลจะดีไหม แต่ก็น่าเสี่ยงกว่าไปเลือกพรรคเดิมให้ทำงานเป็นผู้นำต่ออีก 5 ปี
17) การได้รับเลือกของ ยุน ซอก-ยอล สร้างความหนักใจหลายประการในสังคมเกาหลีใต้ อย่างแรกคือเรื่องประสบการณ์ของเขาในเวทีการเมือง เพราะเขาทำงานเป็นอัยการมาตลอด เพิ่งจะกระโดดมาเป็นนักการเมืองจากแคมเปญนี้เท่านั้น จึงมีความไม่สบายใจว่า ในเวลานี้ เป็นช่วงที่วิกฤติที่สุด โควิด-19 ก็ยังอยู่ แถมยังมีสงครามยูเครน-รัสเซียอีก ขณะที่ความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือก็ยังมีความตึงเครียด เช่นเดียวกับการวางตัวของประเทศ ว่าควรเอนเอียงไปทางไหนมากกว่า ระหว่างสหรัฐฯ หรือ จีน ดังนั้นเมื่อได้ประธานาธิบดีคนใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน บางคนจึงเชื่อว่า อาจทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ได้
และอย่างที่สองคือ สถานภาพของผู้หญิงเกาหลีใต้ ที่ดูเหมือนจะลืมตาอ้าปากได้บ้าง ในยุค มุน แจ-อิน ถ้าต้องอยู่ภายใต้ประธานาธิบดีคนใหม่ ที่ถูกเรียกว่าเป็น Anti-Feminist ก็มีโอกาสที่เพศหญิงจะโดนกดลงไปอีก เช่นเดียวกับเรื่องเศรษฐกิจ ที่ผู้คนกังวลว่า ยุน ซอก-ยอล อาจจะไปเอาใจกลุ่มนายทุน จนสถานภาพของกลุ่มชนชั้นแรงงานลำบากขึ้นกว่าเดิม
18) เรื่องราวการเลือกตั้งของเกาหลีใต้ก็จบลงตรงนี้ โดย ยุน ซอก-ยอล กล่าวขอบคุณ อี แจ-มยอง ที่ต่อสู้กันอย่างสุดความสามารถ และยืนยันว่าทั้งเขาและคู่แข่ง จะจับมือกันทำงานเพื่อประชาชนเกาหลีใต้
สำหรับ ยุน ซอก-ยอล จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ แทนที่ มุน แจ-อิน ในเดือนพฤษภาคมนี้ กับความท้าทายจำนวนมากที่รออยู่ตรงหน้า เป็นบทพิสูจน์สำคัญต่อความสามารถของเขา
19) ในประวัติศาสตร์การเลือกประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ มีการพลิกไปพลิกมา ระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยม และเสรีนิยมตลอดมา ด้วยการเลือกประธานาธิบดีแบบ Popular Vote ทำให้ประชาชนจะเป็นผู้กำหนดอำนาจอย่างแท้จริง หากพรรคไหนมีผลงานน่าผิดหวัง และแคนดิเดทไม่โดดเด่นพอ ก็สามารถโดนโหวตให้แพ้ในวาระต่อไปได้ง่ายๆ
ไม่ว่าผู้ได้รับเลือกจะเป็นคำตอบที่ถูกใจหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นทางเลือกของประชาชนเอง ถ้าเสียงส่วนใหญ่ตัดสินว่าใครควรเป็นผู้นำประเทศ ผลลัพธ์ก็ต้องเป็นไปตามนั้น นี่คือความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย จากประเทศเกาหลีใต้ ที่มีมูลค่าเศรษฐกิจอันดับ 10 ของโลก










