ในขณะที่สังคมมีข้อถกเถียงดังขึ้นมาว่า ‘กัน จอมพลัง’ กำลังช่วยเหลือประชาชน หรือใช้อิทธิพลเกินขอบเขตของคนธรรมดา?
ชื่อของ กัน จอมพลัง ได้กลายมาเป็นทั้งสัญลักษณ์ของ ‘คนตัวเล็กที่อยากช่วย’ และในเวลาเดียวกันก็เป็น ‘คนที่ใหญ่เกินกว่าจะถูกตรวจสอบ’
เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่ดราม่าของอินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่ง แต่มันกำลังสะท้อนภาพที่ใหญ่กว่า
ตั้งแต่เงินบริจาคที่ไปไวกว่าเงินรัฐ สิทธิในการเข้าพื้นที่พิเศษ ไปจนถึงการใช้ทรัพยากรรัฐโดยคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบราชการ
คำถามแรกที่ดังออกมา คือทำไมผู้คนถึงรู้สึกว่า การลงพื้นที่ของ กัน จอมพลัง “รวดเร็วกว่า เข้าถึงกว่า และจริงใจกว่า?”
หรือแท้จริงแล้ว นี่กำลังสะท้อนว่า อินฟลูเอนเซอร์กลายเป็นตัวแทนความหวังของผู้คน มากกว่าระบบราชการ ทั้งที่รัฐควรอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก
เพราะทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ คนแรกที่ถูกมองเห็นมักไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่คือคนที่ถือกล้อง ไลฟ์สด เปิดรับบริจาค กลายเป็นภาพจำที่ทำให้หลายคนปรบมือโดยไม่ตั้งคำถาม
และนั่นเองทำให้มีคำถามใหญ่ตามมา ไม่ใช่แค่ “กัน จอมพลัง ทำเกินไปหรือไม่?” แต่คือ “รัฐอยู่ที่ไหน ตอนที่คนต้องการจริงๆ?”
เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่ดราม่าของอินฟลูเอนเซอร์ แต่เบื้องหลังทั้งเสียงเชียร์และคำก่นด่า อาจมีบางอย่างที่สังคมไทยควรได้เรียนรู้
explainer ตอนนี้ ชวนมองให้ลึกกว่าดราม่า ผ่านประเด็นสำคัญที่อาจถึงเวลาต้องคำถามกันอย่างจริงจัง
รวมถึงคำถามสุดท้ายที่สังคมยังค้างคาใจว่า เรากำลังอยู่ในประเทศที่ “คนมีอิทธิพลทำแทนรัฐ หรือรัฐที่ต้องรอให้คนมีอิทธิพลลงมือก่อนกันแน่?”

สิ่งที่ ‘กัน จอมพลัง’ ทำ อาจมองได้สองด้าน ด้านหนึ่ง เขาคือภาพแทนของความเร็ว ความใจถึง และความหวัง แต่อีกด้าน การกระทำของเขา อาจเป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวของระบบ จนทำให้ประเทศที่มีงบประมาณมหาศาล ต้องให้คนธรรมดาระดมเงินมาแก้วิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่าแทนงบของรัฐ
อย่างที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ เคยตั้งคำถามไว้ตรงๆ ว่า “หากไทยมีงบกองทัพมหาศาล ทำไมต้องมี กัน จอมพลัง มาขอเงินบริจาคไปช่วยชายแดน?”
คำพูดนี้ แม้อาจจะฟังดูแรง แต่ก็จี้ไปถึงความจริงในใจของหลายคนที่มองว่า ถ้ารัฐทำงานได้อย่างที่ควร บางที กัน จอมพลัง ก็อาจไม่ต้องมีอยู่ในบทบาทนี้เลย
ที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ กัน จอมพลัง เข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึง มีหลายครั้งที่เขาไปปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่ที่ถูกมองว่า ‘เข้าถึงยาก’ ทั้งแนวชายแดน หรือจุดปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐ บางแห่งเป็นพื้นที่ที่แม้แต่สื่อยังต้องขออนุญาตหากต้องการเข้าไปรายงานข่าว
จนเกิดคำถามตามมาว่า อะไรทำให้ พลเมืองคนหนึ่ง เข้าไปยืนอยู่ในพื้นที่ซึ่งถือเป็นเขตหวงห้ามได้อย่างเปิดเผย ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของหลายหน่วยงานยังต้องผ่านกระบวนการอนุมัติที่ซับซ้อน แต่ กัน จอมพลัง กลับสามารถถือกล้อง ไลฟ์สด และพูดในนามของ ‘ผู้ช่วยเหลือ’ ได้อย่างอิสระ
อีกกรณีที่ถูกพูดถึง คือการใช้เฮลิคอปเตอร์ของหน่วยงานรัฐเพื่อภารกิจช่วยเหลือ แม้ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่กลับสร้างแรงสะเทือนใหญ่ เพราะความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงทรัพยากรของรัฐได้ง่ายแบบนั้น
จนมี สส. บางคนออกมาตั้งคำถามถึงความเหมาะสมและกติกา รวมไปถึงการตั้งข้อสงสัยต่อ ‘เส้นทางเข้าถึงภาครัฐ’ ของอินฟลูเอนเซอร์คนนี้ จุดประเด็นที่น่าสนใจตามมาว่า “กติกาเดียวกันนี้ถูกนำไปใช้ได้กับทุกคนหรือไม่?”
เพราะหากคนใดคนหนึ่งอยู่นอกระบบรัฐสามารถเข้าถึงพื้นที่ หรือทรัพยากรที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึง เท่ากับว่าความเท่าเทียม หรือแม้แต่กลไกการตรวจสอบก็อาจจะไม่มีความหมายอีกต่อไป
แม้สิ่งที่เกิดขึ้น อาจมองได้ว่าเป็นการสะท้อนช่องโหว่ของระบบที่ตามไม่ทันยุคสมัย ทำให้อิทธิพลของการมีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ กลายเป็นใบเบิกทางที่ทรงพลังยิ่งกว่าบัตรเจ้าหน้าที่รัฐ และความไว้วางใจจากผู้มีอำนาจ บางครั้งก็มากพอจะเปิดประตูที่คนทั่วไปไม่มีวันเปิดได้
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เรื่องหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ สิ่งที่มองเห็นได้จากกรณี กัน จอมพลัง สะท้อนให้เห็น ‘ความไว้วางใจ’ ที่ประชาชนมอบให้กับเขา แทนที่จะเป็นความเชื่อมั่นต่อระบบราชการ
ที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะในสายตาใครหลายๆ คน การเห็น กัน จอมพลัง ลงพื้นที่ คือการเห็นคนหนึ่งคนที่อย่างน้อยก็พยายามทำอะไรสักอย่าง ในขณะที่รัฐยังนิ่งเงียบ
เช่นเดียวกับเหรียญที่มีสองด้าน ในกรณีของกัน จอมพลัง ก็เป็นเช่นนั้น ยิ่งเขายิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คำถามถึงอิทธิพลของตัวเขายิ่งดังขึ้นตามไปด้วย
โดยหลังจากที่เขาเข้าไปมีบทบาทในประเด็นพิพาทชายแดน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่สังคมกำลังให้ความสนใจกับปัญหาแก๊งสแกมเมอร์กัมพูชา ซึ่งเป็นประเด็นที่เชื่อมโยงถึงทั้งการเมืองและความมั่นคงของรัฐ
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นการปะทะระหว่างเขาและ สส.รักชนก ศรีนอก จากพรรคประชาชน จนกลายเป็นหนึ่งในศึกดุเดือดบนโลกโซเชียลตลอดช่วงที่ผ่านมา
เรื่องนี้ เริ่มจาก สส.รักชนก ขอให้เขาช่วยผลักดันรัฐบาลให้แก้ปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาอย่างจริงจัง พร้อมเรียกร้องให้ใช้ความสนิทส่วนตัวกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มาชี้แจงข้อสงสัยเรื่องความเชื่อมโยงกับนายทุนต่างชาติ
กัน จอมพลัง ตอบกลับว่า ยินดีช่วยขับเคลื่อน แต่ต้องการเห็นนักการเมืองทำงานให้มากกว่าพูด ก่อนที่ความขัดแย้งจะลุกลามเมื่อ สส.รักชนก แชร์ข่าวที่มีการระบุว่า บริษัทของ กัน จอมพลัง ได้รับสัญญาจ้างจากกระทรวงเกษตรฯ ด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง ทำให้เกิดการโต้ตอบกันไปมาระหว่าง ‘นักการเมืองกับอินฟลูเอนเซอร์คนดัง’
คำถามของฝ่ายการเมือง คือ กัน จอมพลัง ยังเป็นคนธรรมดาอยู่หรือไม่ ในเมื่อได้รับประโยชน์จากโครงการของรัฐ
ขณะที่คำตอบจากฝั่งของกัน ก็คือ นักการเมืองต่างหากที่ “พูดมากกว่าทำ” และพยายามใช้เขาเป็นเครื่องมือเรียกกระแส
ศึกนี้จึงไม่ใช่เพียงการโต้เดือดระหว่างบุคคล แต่คือภาพสะท้อนของความขัดแยกระหว่างความเร็วกับหลักการ เมื่อฝ่ายหนึ่งเชื่อในพลังของการลงมือทันที ส่วนอีกฝ่ายยืนยันว่า ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กติกาและการตรวจสอบ
ไม่นานหลังเปิดศึกกับฝั่งการเมือง อีกสมรภูมิหนึ่งก็ปะทุขึ้น เมื่อ กัน จอมพลัง ถูก สว.อังคณา นีละไพจิตร วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา หลังเขานำ ‘รถแห่เสียงผี’ ไปเปิดบริเวณชายแดน ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าอาจเป็นการข่มขวัญอีกฝั่งในพื้นที่ความขัดแย้ง
สว. อังคณาโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ตั้งคำถามต่อรัฐบาลไทยว่า การปล่อยให้มีการกระทำเช่นนี้อาจเข้าข่าย “การทรมานทางจิตวิทยา” ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (CAT) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี พร้อมระบุว่า รัฐบาลควรตระหนักถึงผลกระทบทางจิตใจของพลเรือนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งใดของชายแดน
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังโพสต์นั้น เธอกลายเป็นเป้าโจมตีในโลกออนไลน์ ถูกกล่าวหาว่า “เข้าข้างกัมพูชา” และ “ไม่รักชาติ” ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งกลับชื่นชมที่เธอกล้าเตือนเรื่องสิทธิมนุษยชนในยามที่เสียงชาตินิยมกำลังดังที่สุดในสังคมไทย
กระแสนี้ยิ่งแรงขึ้นในรายการ ‘โหนกระแส’ เมื่อ กัน จอมพลัง ออกมาชี้แจงว่า นักสิทธิบางคน “นั่งพูดในห้องแอร์ ไม่รู้หน้างานจริง” พร้อมย้ำว่าการเปิดเสียงดังเป็นเพียงภารกิจชั่วคราว ไม่ได้ตั้งใจรบกวนใคร แต่เพื่อป้องกันการโจมตีจากฝั่งตรงข้าม
ถ้อยคำนี้ของ กัน จอมพลัง ได้รับการสนับสนุนจากแขกร่วมรายการบางคน ซึ่งช่วยเสริมต่อว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ ต้องอยู่ภายใต้ ‘ความมั่นคงของชาติ’ ซึ่งยิ่งทำให้กระแสยิ่งร้อนแรงมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แต่ในอีกมุมหนึ่ง ข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาที่ลึกกว่า ซึ่งก็คือ ช่องว่างของความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย เมื่อคำว่า ‘รักชาติ’ ถูกแยกออกจาก ‘การเคารพสิทธิมนุษยชน’ อย่างสิ้นเชิง และเสียงวิจารณ์จากนักสิทธิถูกมองว่าเป็นการ ‘ต่อต้านชาติ’ แทนที่จะเป็นการตรวจสอบด้วยเหตุผล
และที่สำคัญกว่านั้น กระแสของดราม่านี้ไม่ได้ท้าทายแค่ระบบของรัฐหรือสังคม แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทของสื่อเองด้วย
เมื่อสื่อมวลชนเริ่มทำหน้าที่เป็นเวทีให้ความรู้สึกมากกว่าความจริง หลายช่วงของรายการโทรทัศน์หรือข่าวออนไลน์ กลับกลายเป็นสนามปลุกอารมณ์มากกว่าพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง
ในวันที่ ‘ยอดวิว’ และ ‘ความแรงของกระแส’ ถูกใช้วัดคุณค่าข่าว การรายงานที่ตามติดทุกฝีก้าวของอินฟลูเอนเซอร์จึงยิ่งขยายอิทธิพลของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่เกิดกับ กัน จอมพลัง ในวันนี้ อาจบอกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่เผยให้เห็นว่า บางครั้งความสำเร็จของอินฟลูเอนเซอร์ หรือข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นในสังคม ก็อาจลุกลามเติบโตไปพร้อมกับ ‘ระบบสื่อ’ ที่ให้รางวัลกับการเป็นกระแส
และสิ่งนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องเตือนใจว่า แม้สื่อจะมีหน้าที่รายงานสิ่งที่คนในสังคมสนใจ แต่ต้องไม่ลืมว่า อีกหน้าที่ที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ‘การทำให้สังคมเข้าใจในสิ่งที่พวกเขากำลังสนใจ’ เพราะในโลกที่ข่าวเดินเร็วพอๆ กับอารมณ์ของคนอ่าน สิ่งที่สื่อเลือกจะขยาย มีผลต่อวิธีที่คนทั้งประเทศมอง ‘ความจริง’ เสมอ
เรื่องราวทั้งหมดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของอินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่ง แต่คือภาพของสังคมไทยที่กำลังนิยาม ‘ความดี’ และ ‘ความถูกต้อง’ ใหม่ ระหว่างการลงมือกับการรักษาหลักการ และระหว่างความเร็วกับความรับผิดชอบ
เพราะเมื่อคนที่มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ก้าวเข้าสู่พื้นที่ของรัฐ พรมแดนระหว่าง ‘ภารกิจสาธารณะ’ กับ ‘อำนาจส่วนบุคคล’ ก็เริ่มเลือนราง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ กัน จอมพลัง จึงเป็นมากกว่าดราม่า แต่มันคือบทเรียนของยุคที่ชื่อเสียงสามารถแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่ของอำนาจ
สังคมคงต้องตั้งคำถามกันใหม่แล้วว่า “เราจะวัดความถูกต้องจากผลลัพธ์ หรือจากวิธีการ?” และ “เราต้องการคนที่ช่วยได้จริง หรือระบบที่ทำหน้าที่แทนประชาชนได้อย่างเท่าเทียม?”










