ในวันที่โลกจับตาปัญหาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน “การเงิน” ไม่ได้เป็นเพียงธุรกรรม แต่คือกลไกสำคัญที่เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่มั่นคงกว่า ธนาคารกสิกรไทยประกาศชัดว่า การทำธุรกิจต่อจากนี้ไม่ใช่เพียง “สร้างกำไร” แต่ต้อง “สร้างคุณค่า” ให้กับสังคมและโลก
ในปี 2568 เศรษฐกิจโลกและไทยยังคงเผชิญความไม่แน่นอนหลายด้าน ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศ ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงแรงกดดันจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนการส่งออกของไทย
ท่ามกลางความท้าทายนี้ ธนาคารกสิกรไทย (KBank) มองบทบาทตนเองไม่ใช่เพียง “ตัวกลางทางการเงิน” แต่เป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยให้ลูกค้า นักลงทุน ผู้ประกอบการ และทุกคนในสังคม สามารถเข้าถึงโอกาสใหม่ ปรับตัว และเติบโตได้อย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

[จาก ESG สู่ Issue-based Strategy]
‘จงรัก รัตนเพียร’ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย อธิบายว่า ธนาคารได้ทบทวนกลยุทธ์การทำงานด้านความยั่งยืน เพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและสังคมได้ชัดเจนขึ้น จึงเปลี่ยนจากการดำเนินงานความยั่งยืนด้วยแกน ESG ไปสู่ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนบนแนวทางใหม่ที่เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม เชื่อมโยงมุมมองทุกด้านที่เกี่ยวข้อง กำหนดความมุ่งหมายชูเป็นแกนกลางของการทำงานที่เรียกว่า Issue-based Strategy โดยมุ่ง 3 แกนหลักที่สร้างประโยชน์ชัดเจนต่อทุกกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย
- Be a Most Trusted Bank: มุ่งเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น พร้อมเคียงข้างผู้มีส่วนได้เสียในการก้าวผ่านความท้าทายเพื่อสร้างการเติบโตที่อย่างยั่งยืน
- Reinforce Future-Ready Resilience: เสริมความยืดหยุ่นให้องค์กรและผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อพร้อมรับมือกับทุกความไม่แน่นอน และร่วมก้าวสู่โอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ในอนาคต
- Enable Inclusive Growth: ส่งมอบพลังให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าถึงศักยภาพสูงสุดผ่านผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ครอบคลุมและทั่วถึง
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองนึกถึงธุรกิจ SME ขนาดเล็กที่กำลังปรับตัวให้ธุรกิจเดินหน้าได้ในยุคไม่แน่นอน การสนับสนุนทั้งเงินทุนและองค์ความรู้จะช่วยให้พวกเขาเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ และเติบโตอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ KBank ยังตั้งเป้าเพิ่มวงเงินสินเชื่อและการลงทุนด้านความยั่งยืนจาก 1-2 แสนล้านบาท สู่ 4–5 แสนล้านบาทภายในปี 2030 เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและสร้างผลกระทบเชิงบวกให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม

‘จงรัก’ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ของเรา คือการพาทุกชีวิตและธุรกิจฝ่าคลื่นความท้าทายไปด้วยกัน เราไม่สามารถทำเพียงลำพัง การทำงานร่วมกับบริษัทในเครือและพันธมิตร จะช่วยให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม เติบโตไปพร้อมกัน

[พลังทุนคู่ความรู้: ขับเคลื่อนศักยภาพสู่อนาคตยั่งยืน]
ไม่ใช่แค่การให้เงินทุน KBank ยังส่งมอบ องค์ความรู้และเครื่องมือ ที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ลูกค้า ธุรกิจ และสังคม โดยที่ผ่านมาสามารถส่งมอบโซลูชันทางการเงินและการลงทุนไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น
- สินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางขึ้นไป และ Project Financeผ่านการประเมิน ESG 100%
- KIV สนับสนุนสินเชื่อรายเล็ก
- KLeasing ส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า
- KF&E ช่วยธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทางเลือก
- KAsset นำเสนอกองทุน ESG และ SRI ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุด
นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาความรู้ เช่น K SME Care, KATALYST, SKILLKAMP และ K Wealth ที่ช่วยให้ธุรกิจและชุมชนเรียนรู้ วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ
ตัวอย่างเช่น SME ที่นำองค์ความรู้ไปปรับโครงสร้างการผลิตและวางแผนการเงิน สามารถลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และเติบโตในตลาดที่ผันผวนได้

[จาก Net Zero สู่ Climate Solutions แบบครบวงจร]
ล่าสุด รัฐบาลประกาศเลื่อนเป้าหมายการบรรลุ Net Zero ให้เร็วขึ้นถึง 15 ปี จากเดิมปี 2065 เป็นปี 2050 ซึ่งทำให้ทุกภาคส่วนต้องเร่งปรับตัว คำถามคือ ธนาคารจะเข้ามาซัพพอร์ตลูกค้าและธุรกิจให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ได้อย่างไร
‘จงรัก’ อธิบายว่า เมื่อรัฐบาลตั้งเป้าที่ชัดเจนขึ้น ย่อมทำให้ทุกภาคส่วนต้องเร่งมือปรับตัวตาม และเชื่อว่าภาคเอกชนเองก็จะเร่งปรับเป้าหมายขององค์กรให้สอดรับกับทิศทางใหม่ แต่แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนไม่ใช่เรื่องง่าย ธนาคารจึงมีบทบาทสำคัญในการเข้ามาช่วยเสริมทั้งด้านการเงิน ความรู้ เทคโนโลยีและเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อให้ลูกค้าสามารถก้าวทันและเดินหน้าไปพร้อมกับเป้าหมายของประเทศ
KBank ตั้งเป้า Net Zero และวางตำแหน่งเป็น “The Most Comprehensive Climate Solution Provider” ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศแบบครบวงจร เพื่อช่วยธุรกิจและสังคมก้าวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
ผลลัพธ์เชิงรูปธรรม:
- ณ สิงหาคม 2568 ปล่อยสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนไปแล้วกว่า 173,000 ล้านบาท
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.74 ล้านตัน CO₂e
- สนับสนุนสินเชื่อ EV กว่า 39,000 คัน และอาคารเขียว 1 ล้าน ตร.ม.

การทำงานที่ “เหนือกว่าการให้การสนับสนุนทางการเงิน” :
- กลยุทธ์ลดคาร์บอนรายอุตสาหกรรมเพื่อเข้าไปควบคุมและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอย่างใกล้ชิดของลูกค้าในพอร์ตโฟลิโอของธนาคาร จำนวน 6 กลุ่มอุตสาหกรรม
- เครื่องมือ KClimate1.5 ช่วยธุรกิจวัดและบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
- Creative Climate Research Center เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ และความร่วมมือเพื่อรับมือกับปัญหาโลกร้อน
- การส่งเสริม Carbon Ecosystem เช่น Watt’s Up (EV), Green Pass (RECs), K-GreenSpace

ความร่วมมือ:
- จับมือกับ 34 องค์กรสร้าง Thailand Climate Business Network (Thai CBN) ร่วมกันผลักดันแนวปฏิบัติด้าน Climate ที่นำไปใช้ได้จริง ตั้งแต่ระดับ SME จนถึงข้อเสนอเชิงนโยบายระดับประเทศ โดยเครือข่าย Thai CBN ได้จัดทำ E-Handbook for Greener SMEs และ White Paper – Climate Ecosystem Collaboration เพื่อส่งมอบให้ภาครัฐ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างพลังร่วมระหว่างภาคธุรกิจและภาครัฐในการเร่งการเปลี่ยนผ่านของประเทศอย่างยั่งยืนและมีส่วนร่วม

[เคียงข้างทุกภาคส่วน สู่ความยั่งยืน]
สำหรับ KBank ความยั่งยืนไม่ใช่เพียง “กลยุทธ์ธุรกิจ” แต่คือพันธกิจที่จะเคียงข้าง ทุกกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งลูกค้า นักลงทุน พนักงาน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงและเติบโตไปด้วยกัน
นี่คือการผสาน “พลังทุน” เข้ากับ “องค์ความรู้” และ “เครือข่ายความร่วมมือ” เพื่อเสริมศักยภาพทุกภาคส่วน ก้าวผ่านความท้าทาย และสร้างคุณค่าร่วมอย่างแท้จริง
เวลานี้จึงไม่ใช่เพียงความท้าทาย แต่คือโอกาสที่ทุกภาคส่วนจะร่วมกันผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตสีเขียวที่มั่นคง ครอบคลุม และยั่งยืน










