กว่าเด็กคนหนึ่งจะเติบโตจนเดินทางมาถึงอายุ 20 ปีซึ่งเป็นวัยบรรลุนิติภาวะได้ต้องใช้เวลามากกว่า 7,000 วัน ในช่วง 7,000 วันนี้ทุกสภาพแวดล้อม ทุกคำสั่งสอน ทุกทางเลือกจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กไร้เดียงสา กลายเป็นผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์
บทสนทนาในรายการ TOMORROW ของ ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ วัย 29 ปี และแสนดี-แสนปิติ สิทธิพันธุ์ วัย 22 ปีที่เพิ่งจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ได้มาแชร์ประสบการณ์ชีวิต ประสบการณ์การเรียนรู้ การเติบโต และการเดินทางออกจากประเทศบ้านเกิดไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ถอดออกมาเป็น 5 บทเรียนพัฒนาตัวเองได้อะไรบ้าง ชวนมาอ่านไปด้วยกัน
- เรียนรู้ที่จะยอมรับความโง่เขลา
ในช่วงหนึ่งของบทสนทนา แสนดีเล่าว่าขณะที่เรียนอยู่ในประเทศไทย เขาเรียนในโรงเรียนนานาชาติ สิ่งแวดล้อมจะแตกต่างจากสังคมโรงเรียนทั่วไป ขณะนั้นแสนดีรู้สึกว่าตัวเองเป็นปลาใหญ่ในอ่างเล็ก แต่เมื่อไปเรียนที่สหรัฐฯ ทุกอย่างกลับกัน เขากลายเป็นปลาเล็กในอ่างใบใหญ่ ซึ่งมีปลาตัวอื่นอีกมากมายที่ทั้งเก่งกาจ และมีความสามารถไม่แพ้กัน
สิ่งที่เขาเรียนรู้จากสถานการณ์นี้คือ ยอมรับใน ‘ความไม่รู้’ อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ และอย่ากลัวที่จะเรียนรู้จากรอยขีดข่วนในชีวิต และมีโอกาสได้เรียนรู้จาก อย่าตกเป็นเหยื่อความอวดดี เหมือนแนวคิดภูเขาแห่งความโง่เขลา (Mount Stupid) ที่ชัชชาติชอบพูดถึงบ่อยๆ “คนที่รู้เยอะ มักจะรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร ส่วนที่รู้น้อย จะไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร”
- รับฟังความเห็นต่าง เพราะจะทำให้เราฉลาดขึ้น
“เราจะได้เรียนรู้มากเมื่อคุยกับคนที่เห็นด้วย แต่จะได้เรียนรู้มากกว่าเมื่อคุยกับคนที่เห็นต่าง” คือหนึ่งในประโยคที่ได้ยินจากบทสนทนานี้
ในระหว่างการพูดคุย มีหนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบมาพูดถึงบ่อยครั้งคือ ‘ความเห็นต่าง’ ซึ่งมาในรูปแบบการวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ ไอติมแม้จะเรียนจบจากสาขาการเมือง แต่ก็มีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์บ่อยครั้ง และมองว่าประวัติศาสตร์ไม่ใช่วิชาที่ออกแบบมาสำหรับท่องจำเท่านั้น แต่ยังเป็นเนื้อหาที่เปิดให้เรามีโอกาสได้ถกเถียง โต้แย้ง และวิพากษ์อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งช่วยพัฒนาวิธีคิดให้รัดกุม และแหลมคมขึ้น
- มองหาข้อดีในทุกๆ อย่างเสมอ
แสนดีเล่าให้ฟังว่าหนึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้จากชัชชาติ ผู้เป็นพ่อคือการมองโลกในแง่บวก ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหน จงพยายามมองหาข้อดีของมันอยู่เสมอ มันจะทำให้เราไม่จมไปกับความวิตกกังวล และความเศร้าหมอง แล้วก็อย่าลืมที่จะใจดีกับตัวเองอยู่เสมอ อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม แสนดีบอกว่าในอีกมุมหนึ่งของการมองโลกในแง่บวกคือต้องรู้จักขอบเขตไม่ให้ก้าวล้ำไปถึงคำว่า Toxic Positivity หรือคิดบวกจนเป็นพิษ ต้องพยายามควบคุมความคิดของตัวเอง รู้ว่าความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เข้าใจมัน และจัดการมันอย่างชาญฉลาด
นี่คือวิธีการใช้ ‘ความโลกสวย’ ให้เป็นประโยชน์และไม่กลับมาทำร้ายตัวเอง
- เคารพทางเลือกของคนรอบข้างอยู่เสมอ
ในช่วงต้นของบทสนทนา ทั้งแสนดี ไอติม และเอมแลกเปลี่ยนกันเรื่องของการศึกษา แชร์ประสบการณ์การเรียนในอังกฤษ และสหรัฐฯ สิ่งหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในประเด็นนี้คือ ‘การยอมรับ’ ยอมรับความถนัด ยอมรับความชอบ ยอมรับในตัวตนของกันและกัน
ไอติมเล่าว่าตอนเรียนที่อังกฤษ คุณครูในโรงเรียนไม่ได้กดดันให้นักเรียนต้องทำอาชีพใดอาชีพหนึ่ง สิ่งที่โรงเรียนต้องการคือให้นักเรียนค้นพบตัวเอง รู้ว่าอยากให้ภาพของตัวเองในอนาคตเป็นแบบไหน แล้วดึงสิ่งนั้นมาเป็นจุดแข็ง โรงเรียนทำหน้าที่แค่ช่วยส่งเสริม และผลักดันให้นักเรียนไปได้สุดทางที่ต้องการ
หรือแม้กระทั่งแสนดีเองก็ได้รับการยอมรับจากบิดา ตอนแรกแสนดีเลือกเรียนด้านการบริหารธุรกิจ แต่ภายหลังเปลี่ยนมาเรียนสาขาประวัติศาสตร์เพราะความชอบส่วนตัว แม้ชัชชาติอาจจะไม่เห็นด้วยในคราวแรก แต่ก็พร้อมจะสนับสนุนให้ลูกให้เลือกตามความฝัน
บรรยากาศเหล่านี้ส่งเสริมให้เด็กคนหนึ่งเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เมื่อไม่มีกรอบแห่งความดีงาม หรือค่านิยมมาขวางกั้น ก็ทำให้พวกเขาได้พัฒนาศักยภาพตัวเองอย่างเต็มกำลัง นี่คือผลจากการเคารพการตัดสินใจของกันและกัน โดยไม่เอาความต้องการหรือประสบการณ์ของตัวเองมาเป็นที่ตั้ง
- ระเบียบวินัยสร้างได้ถ้าเข้าใจมัน
หัวข้อระเบียบวินัยต่อเนื่องมาจากประเด็นเรื่อง ‘ใส่ชุดนักเรียน=มีวินัย จริงหรือไม่?’
แสนดีบอกว่า การสร้างระเบียบวินัยที่ดีไม่ควรเกิดจากการบีบบังคับ แต่ควรเกิดจากความต้องการและความเข้าใจของคนคนนั้นจริงๆ ก่อนไอติมจะยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เขาไปบรรยายในโรงเรียนแห่งหนึ่ง และตั้งโจทย์ให้นักเรียนว่า “ให้นักเรียนออกมาวิดพื้นข้างนอก 100 ครั้ง” แต่ปรากฏไม่มีใครออกมาเลย ไอติมเลยให้นักเรียนพยายามต่อรองว่าทำไมนักเรียนต้องออกไปวิดพื้นตามคำสั่ง
คำตอบที่ได้มี 4 ข้อ คือ
- จ่ายเงินมาสิ แล้วจะทำ
- ให้สอนก่อน แล้วจะทำตาม
- ทำไมคุณไม่ทำเอง
- มีเหตุผลอะไรที่เราต้องวิดพื้น
ไอติมอธิบายต่อว่า คำตอบข้อแรกแสดงให้เห็นปัจจัยเรื่องการให้รางวัลตอบแทน ข้อที่สองเป็นปัจจัยเรื่องให้การทักษะความรู้ ข้อที่สาม เป็นเรื่องของบุคคลต้นแบบ และข้อสุดท้ายคือปัจจัยเรื่องของความเข้าใจในจุดหมาย
ปัจจัยทั้ง 4 ข้อนี้คือสิ่งที่จะสร้างระเบียบวินัยได้อย่างยั่งยืน ก่อนที่เราจะเริ่มทำอะไรสักอย่าง ให้ถามตัวเองก่อนว่าเราต้องการแรงกระตุ้นด้านไหน ข้อ 1, 2, 3 หรือ 4 เมื่อเราค้นพบแล้ว จะทำให้เรามีระเบียบวินัยขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีใครบังคับ
นี่เป็นเพียงบางส่วนจากบทสนทนาของทั้ง 3 คน หากใครอยากฟังเต็มๆ ตามไปดูต่อได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=B0IW9-hYAVw










