รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยอมรับการตรวจสอบ ยาเสพติดล็อตใหญ่ 11.5 ตัน ผิดพลาด เนื่องจากยังขาดความรู้ทางวิชาการ เพราะสารไตรโซเดียมฟอสเฟตที่พบเป็นสารชนิดใหม่ ทำให้ผลเทส เบื้องต้นออกมาเป็นสีม่วง เหมือนยาเค พร้อมเตรียมส่งตัวอย่างกว่า400กระสอบ ส่งเข้า 3 แล็บ คาดตรวจสอบแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้

วันที่ 23 พ.ย. 2563 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ทำการจับกุมสารเคมีชนิดยาเคตามีน 475 กระสอบ น้ำหนัก 11.5 ตัน มูลค่า 28,750 ล้านบาท ในโกดังสินค้าในพื้นที่ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการตรวจพบภายหลังว่า เป็นสารไตรโซเดียมฟอสเฟต ใช้ในการซุกซ่อนสารเสพติดส่งออกนอกประเทศ 60 กระสอบ
โดยขณะนี้ยังเหลือสารที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบอีก 406 กระสอบ โดยเจ้าหน้าที่กำลังคัดตัวอย่างทั้งหมดส่งเข้า 3 แล็บ ได้แก่ แล็บ ป.ป.ส. แล็บของกองพิสูจน์หลักฐานและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งคาดว่าจะตรวจสอบแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้
ส่วนผลการตรวจสอบสารโดย test kit ที่ออกมาเป็นสีม่วง จนเกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นยาเค ยอมรับว่า ทางป.ป.ส. เพราะเจ้าหน้าที่ยังขาดความรู้ด้านวิชาการ เรื่องสารไตรโซเดียมฟอสเฟต เพราะเป็นสารชนิดนี้ถือเป็นสารใหม่
ซึ่งหลังจากนี้ป.ป.ส.จะสร้างองค์ความรู้ ให้เจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ โดยจัดสัมมนา เรื่องคุณสมบัติสารดังกล่าวรวมถึงสารชนิดอื่นๆที่มีผลลัพธ์การตรวจเป็นสีม่วงอีก2-3ชนิด โดยเบื้องต้นได้มีการประกาศออกเอกสารชี้แจงไปแล้ว ส่วนการขนย้ายและจัดเก็บของกลาง ขณะนี้ได้สั่งการให้ ป.ป.ส.ชี้แจงรายละเอียดทุกขั้นตอนภายในวันพรุ่งนี้และจะจัดแถลงอีกครั้ง
นอกจากนี้ ได้สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบกรณีที่ออกมาสร้างข่าวทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดในเรื่องการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม ยืนยันการจัดคณะกรรมการไม่ได้กลั่นแกล้งประชาชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็น แต่เพื่อปกป้ององค์กร
ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือ เหยื่ออาชญากรรม แจ้งความดำเนินคดีฐานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ตนเองมองว่าเป็นสิทธิ์ที่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบขอเท็จจริง โดยยืนยันว่าอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีเพียงกำกับนโยบาย ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่
ด้านนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ยืนยันว่าการดำเนินคดีกับกระบวนการ ขายยาเสพติดครั้งนี้ไม่ได้ล่าช้า เนื่องจากคดีนี้เป็นการขยายผลจากคดีระหว่างประเทศ ที่ไม่มีตัวผู้ต้องหา มีเพียงหลักฐานของกลางจึงทำให้ยากต่อการติดตามข้อมูล ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องในโกดังก็ไม่ได้เป็นผู้ต้องหาที่มีความผิดซึ่งหน้าต้องให้ตำรวจรวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับ ย้ำไม่ได้โยนเรื่องให้ตำรวจดำเนินการแต่อย่างใดแต่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย










