วันที่ 8 พ.ค. ที่รัฐสภา น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อ ส.ส.ฝ่ายค้านรวม 209 คน ต่อเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ อภิปรายสถานการณ์โควิด การประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน และ การออก พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อให้สมาชิกรัฐสภา ได้ร่วมพิจารณาและเห็นชอบโดยเฉพาะกฎหมายกู้เงิน อย่างไรก็ตาม การยื่นในครั้งนี้ยังต้องการอีก 37 เสียง จาก ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและ ส.ว.มาร่วม จึงจะดำเนินการได้
นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นตัวแทนมาร่วมยื่นหนังสือด้วย กล่าวว่า จำเป็นต้องเปิดการประชุมครั้งนี้ เพราะการออก พ.ร.ก. กู้เงินจำนวนมหาศาล 1 ล้านล้านบาท ก่อให้เกิดภาระหนี้สาธารณะที่มีผลผูกพันทางการเงินการคลังที่มีมูลค่าสูงของรัฐ ถือเป็นภาระที่คนไทยทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันในระยะยาว อีกทั้ง พ.ร.ก.กู้เงิน เป็นการให้อำนาจฝ่ายบริหารไว้สูงมาก แต่การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินมีเพียงการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เพียงไม่กี่คน โดยไม่ต้องรายงานต่อฝ่ายนิติบัญัติ ซึ่งเม็ดเงินเหล่านั้นเป็นภาษีของพี่น้องประชาชน
รัฐบาลสามารถใช้จ่ายได้ตามอำเภอใจ และอาจเป็นเหตุให้เกิดเป็นเบี้ยหัวแตก ส่อให้เห็นว่าใช้เพื่อผลทางการเมืองกับรัฐบาลเเละเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ
พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ พรรคก้าวไกล
ส่วนกรณีเงินเยียวยาที่จัดสรรให้ประชาชนเดือนละ 5,000 บาท จำนวน 3 เดือน ก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากในการปฏิบัติ รวมถึงทำให้ประชาชนเดือดร้อนเข้าไม่ถึงสิทธิ์จำนวนมาก ควรนำระบบจัดสรรแบบถ้วนหน้าช่วยเหลือทุกคน มาประยุกต์ใช้ และต้องใช้ระบบทะเบียนราษฎร์ให้เป็นประโยชน์
“เพราะเหตุใด ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล จึงไม่ร่วมมือช่วยกัน เพื่อลงนามเปิดประชุมสมัยวิสามัญอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการตีเช็กเปล่าของรัฐบาล ที่ส่งผลเสียต่อประเทศอย่างมีนัยะสำคัญ”
นอกจากนี้ พรรคก้าวไกล ยังเสนอว่า เพื่อประโยชน์ในการติดตามการใช้จ่ายเงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน อย่างต่อเนื่อง ควรให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณ
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 123 ระบุว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาทั้งสองสภารวมกันหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญได้ ซึ่งเบื้องต้นต้องใช้ประมาณ 246 เสียง
