แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล เร่งรัฐบาลชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ค้นหาเรือชาวโรฮิงญาในน่านน้ำและให้ความช่วยเหลือตามมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน หลังมีรายงานชาวโรฮิงญานับแสนยังคงเผชิญกับความเสี่ยงในการอพยพย้ายถิ่นฐาน และการถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมในค่ายกักกันภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารเมียนมาร์ จนตัวเลขการอพยพเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า
“กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศกำหนดให้ต้องช่วยชีวิตหรือให้การช่วยเหลือบุคคลที่ประสบภัยอยู่กลางทะเล และนำตัวไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อคุ้มครองชีวิตเหล่านี้ ความล่าช้าในการบรรเทาความทุกข์ยากของชาวโรฮิงญาหรือความพยายามใดๆ ที่จะส่งตัวกลับไปเผชิญกับการประหัตประหารในเมียนมา ถือเป็นการกระทำที่ขาดมโนธรรมสำนึก” แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนลกล่าวผ่านเอกสารที่กระจายให้กับสื่อมวลชน
เรเชล ชัว โฮวาร์ด นักวิจัยประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล รายงานว่า หลังเกิดวิกฤตทะเลอันดามัน 7 ปีก่อนหน้านี้ที่เป็นเหตุให้มีผู้สูญเสียชีวิตจำนวนมาก ชาวโรฮิงญายังคงเสี่ยงภัยในการเดินทางเพื่อหลบหนีการประหัตประหารจากรัฐบาลทหารเมียนมาร์และหนีจากสภาพชีวิตที่เลวร้ายในค่ายผู้ลี้ภัยของบังกลาเทศ
ข้อมูลในเดือนสิงหาคม 2560 พบว่ามีชาวโรฮิงญากว่า 740,000 คน ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และเด็ก เดินทางหลบหนีจากทางตอนเหนือของรัฐยะไข่มุ่งหน้าสู่บังกลาเทศประเทศเพื่อนบ้าน หลังกองกำลังทหารเมียนมาเปิดฉากโจมตีหมู่บ้านของชาวโรฮิงญาหลายแห่ง รวมทั้งมีการสังหารชาวโรฮิงญาที่นอกเหนือจากกระบวนการทางกฎหมาย มีการทำลายทรัพย์สิน และการล่วงละเมิดทางเพศ
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees หรือ UNHCR) รายงานว่าจำนวนผู้อพยพที่เสี่ยงภัยทางเรือจากเมียนมาไปยังบังกลาเทศ ในปี 2565 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญา มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า
ด้านทางการของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะปรับปรุงการประสานงานในภารกิจค้นหาและช่วยชีวิตผู้ประสบภัยในเรือของผู้อพยพ หลังเกิดการสูญเสียจากความล่าช้าในการดำเนินการ โดยแมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนลระบุว่า รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องประสานงานและให้ความร่วมมืออย่างเร่งด่วนในภารกิจค้นหาและช่วยชีวิต โดยต้องค้นหาเรือที่ประสบภัย รวมถึงรับประกันว่าผู้ที่อยู่บนเรือจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย และได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์ รวมทั้งน้ำและอาหารเหมาะสม
ปัจจุบันชาวโรฮิงญากว่า 130,000 คนยังคงอาศัยอยู่ในค่ายกักกันในสภาพที่เลวร้ายภายในรัฐยะไข่ของเมียนมา โดยถูกจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง การเข้าถึงการศึกษาและบริการด้านสุขภาพ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกการปฎิบัติต่อชาวโรญิงญาเช่นนี้ว่าเป็นการ “แบ่งแยกสีผิวและชาติพันธุ์”
โดยกองทัพเมียนมามักควบคุมตัวชาวโรฮิงญาตามอำเภอใจจากการที่พวกเขาเดินทางออกนอกรัฐยะไข่ ซึ่งผู้ที่ถูกควบคุมตัวจะถูกส่งตัวไปยังเรือนจำ และไม่มีสิทธิในการต่อสู้คดี หรือไม่สามารถติดต่อกับทนายความได้ ในขณะที่สภาพภายในเรือนจำของเมียนมาเต็มไปด้วยการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรม และไม่สอดคล้องกับมาตรฐานกับสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ










