บ้านเช่าขนาดชั้นเดียว ในเมืองแห่งหนึ่งเขตชายแดนไทย-เมียนมา ภายในสะดุดตาด้วยของเล่นเด็กที่จับจองทุกพื้นที่ของพื้นบ้าน ก่อนที่จะมีชายผมยาว รูปร่างสูงใหญ่ ออกมาต้อนรับ พร้อมแนะนำตัวว่าเป็นอดีตทันตแพทย์ที่ลี้ภัยมาจากเมียนมา ซึ่งเขาเป็นเหตุผลให้เราเดินทางไปหา
อย่างที่พอทราบ ในการรัฐประหารโดยกองทัพในเมียนมา ปี 2021 มีผู้คนจำนวนหนึ่งเข้าร่วมขบวนการอารยะขัดขืน (Campaign for Civil Disobedience) ในครั้งนั้น จนจำต้องหนีภัย โดยไทยก็เป็นปลายทางหนึ่งของหลายคน
เราบอกเหตุผลที่อยากพบ และพูดคุยกับเขาว่า อยากให้ผู้ได้รับรู้เรื่องราวของคนเมียนมา ที่มีมากกว่าความตั้งใจมาทำงานเพื่อโอกาสที่ดีขึ้นของครอบครัว ด้วยการเอาแรงกายเข้าสู้ อย่างที่ถูกนิยามว่า ‘แรงงานข้ามชาติ’ แต่ยังมีคนอีกหลากหลายอาชีพ ที่ต้องหนีภัยความขัดแย้ง ทั้งที่มีการศึกษาและความสามารถติดตัว เฉกเช่นเดียวกับผู้คนในวัยเดียวกันในทุกมุมโลก
ภายใต้รอยยิ้มของเขา ยังคงมีความประหม่า และไม่มั่นใจว่าเรื่องราวของตนเอง จะสำคัญอย่างไรต่อคนอื่น แต่ผู้คนที่ผ่านการเดินทางในชีวิตอย่างเขา ย่อมมีเรื่องเล่าที่ดีเสมอ เมื่อเขาผ่อนคลายลง เส้นทางตั้งแต่การเป็นคนหนุ่มหัวดี ที่เรียนจบทันตแพทย์ จนถึงวันที่ดนตรีกลายเป็นทุกอย่างของชีวิต ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างไหลลื่น
[ชีวิตที่พลิกผันของอดีตทันตแพทย์หนุ่มจากเมียนมา]
เมย (ขอสงวนชื่อเต็มเพื่อความปลอดภัย) เรียนจบสาขาทันตแพทย์ ที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ในปี 2014 ถือเป็นหนึ่งในช่วงรุ่งเรืองของประเทศเมียนมา ซึ่งประชาธิปไตยและเศรษฐกิจกำลังเติบโต โดย GDP เติบโตที่ 8.2% ทำให้เมยและหุ้นส่วน ร่วมกันเปิดคลินิกของตนเอง
“ตอนเรียนจบชั้นมัธยมปลายผมได้คะแนนเรียนดี ญาติพี่น้องจึงสนับสนุนให้เรียนแพทย์”
ในวัย 30 ปี ชีวิตของเมยกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี เขาเล่าว่า ก่อนการรัฐประหารในปี 2021 ด้วยรายได้ต่อเดือน 300,000 บาท เพียงพอสำหรับมอบคุณภาพชีวิตของลูกชาย และโอกาสสร้างพื้นที่ทำสวนเป็นของตนเอง ก่อนชีวิตจะหักเหไปอีกทาง
“ผมเข้าร่วม CDM เพราะไม่ยอมรับในการกระทำของรัฐบาลทหาร มันคือสิ่งที่ผิดและเราไม่อยากอยู่แบบนั้น”
ขบวนการอารยะขัดขืน (Campaign for Civil Disobedience หรือ CDM) คือการเคลื่อนไหวของประชาชน โดยเริ่มต้นจากกลุ่มแพทย์และบุคลากรการแพทย์ ที่ออกมาปฏิเสธการทำงานให้รัฐบาลทหาร
นับแต่นั้น เมย ถูกทางการทหารตามตัว จนไม่สามารถไปทำงานที่คลินิกได้ เขาต้องย้ายที่อยู่ เปลี่ยนชื่อ ย้ายทะเบียนบ้าน รวมถึงตัดสินใจขายคลินิกทำฟันที่เขาสร้างขึ้นมากับมือ “ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ผมต้องเปลี่ยนบัตรประชาชน ปลอมเอกสารขึ้นมาใหม่ทั้งหมด”

ภาพ ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์
เสียใจกับการตัดสินใจออกมาเคลื่อนไหวของตนเองไหม? เป็นสิ่งที่เราถามออกไป เขาตอบกลับมาทันทีว่า “ไม่” เพราะสำหรับคนเมียนมา การปกครองโดยทหารคือสิ่งที่พวกเขาเจอมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย เป็นเวลารวมกันเกือบ 60 ปี และรู้ดีว่าราวสิบปี ตั้งแต่ปี 2011–2021 ในช่วงเวลาที่มีประชาธิปไตย ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเพียงใด “ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็ทำ ผมเห็นสิ่งที่ผิดและทนอยู่กับสิ่งที่ผิดแบบนี้ไม่ได้”
จนในที่สุด จากการตัดสินใจต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ทำให้เขาไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเมียนมาได้อย่างปลอดภัย ในปี 2024 เมยจึงตัดสินใจเดินทางเข้ามาใช้ชีวิตยังประเทศไทยร่วมกับลูกชายวัย 5 ขวบของเขา
“ถ้าจะมีอะไรผิดพลาด คงผิดตั้งแต่ผมเกิดเป็นคนเมียนมา” เมยเล่า
[จุดจบของหมอฟัน จุดเริ่มต้นของการเป็นนักดนตรี]
จากอดีตทันตแพทย์ที่มีเงินเดือนหลักแสน มาวันนี้เมยทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือชาวเมียนมาในเขตพื้นที่ชายแดน และได้รับเงินเดือน 8,000 บาท ถึงจะไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นทันตแพทย์ได้อีก แต่เมื่อชีวิตต้องดำเนินต่อไป เมยก็ตัดสินใจทุ่มเทให้กับดนตรี ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารักมาตั้งแต่เด็ก
“ผมรักดนตรีตั้งแต่เด็ก เวลาได้ค่าขนมผมจะเก็บเงินซื้อเครื่องดนตรี มันคือความรักของผม”
อากาศที่ร้อนอบอ้าว ระหว่างการพูดคุยในช่วงบ่าย เมยจึงชวนเราเปลี่ยนสถานที่ไปยังห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่แยกออกมาจากตัวบ้าน เมื่อเปิดประตูเข้าไป พบกันเครื่องดนตรีวางเรียงราย ทั้งกลองชุด กีตาร์ คีย์บอร์ด เครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งมีแผ่นซับเสียงติดอยู่รอบด้าน ซึ่งที่นี่คือห้องอัดเพลงของเขา
เมยเล่าว่า หลังจากที่ข้ามพรมแดนมาฝั่งไทยได้แล้ว ถึงได้ให้คนรู้จักช่วยส่งเครื่องดนตรีทั้งหมดมาให้ เมยมักจะหมกตัวอยู่ในห้องซ้อมดนตรี และกำลังเตรียมออกเพลงใหม่กับเพื่อนภายในปีนี้ “ชีวิตตอนนี้ผมไม่ขอมีอะไรแล้วก็ได้ แต่ขออย่างเดียวให้ผมได้เล่นดนตรี”

ภาพ ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์
ทว่า เขาไม่สามารถอุทิศเวลาให้กับการเล่นดนตรีเพียงอย่างเดียวได้ เพราะงานร้องเพลงสร้างรายได้ให้เขา 6,000 – 7,000 บาทต่อเดือน ชีวิตประจำวันตอนนี้จึงต้องตื่นเช้า ไปทำงานที่คลินิกดูแลคนไข้ พอตกเย็นจึงไปร้องเพลงตามร้านอาหาร
“ถ้าเลือกได้ผมอยากอยู่ประเทศไทย” เมยกล่าว ทั้งที่รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้สถานะการอยู่อาศัย “อะไรที่ผมสามารถทำให้สังคมไทยได้ ผมก็อยากทำให้ แต่ผมไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้อยู่แล้ว เพราะมันมีกฎระเบียบ”
สำหรับประเทศไทยนั้น ไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสถานะผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 นั่นทำให้ไทยไม่มีพันธะผูกพัน ตามกฎหมายระหว่างประเทศในการคุ้มครองผู้ลี้ภัย คนอย่างเมย จึงมีสถานะเป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย เนื่องจากไม่มีเอกสารอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร
ด้าน อดิศร เกิดมงคล จากเครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน (TMR) เครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานเกี่ยวข้องกับผู้ย้ายถิ่นฐาน ผู้ลี้ภัย คนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ มองว่า ตัวผู้ลี้ภัยหลายคนมีศักยภาพติดตัวมา ถ้ามองในมุมของเศรษฐกิจ คนกลุ่มนี้สามารถสร้างประโยชน์ต่อสังคมไทย
“เรากำลังสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะสูง หลายคนมีทักษะที่สังคมไทยขาดอยู่ แต่พอเราไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาทำงาน ทำให้เราไม่เห็นทักษะหรือศักยภาพที่พวกเขามี”
อย่างกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ที่อดิศรเล่าว่า อาชีพแพทย์หรือทันตแพทย์ ซึ่งอยู่ใน 8 อาชีพเสรีในอาเซียน เป็นข้อตกลงที่ทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นไปได้ง่ายขึ้น
แต่การออกใบรับรองให้แพทย์จากประเทศอื่น ให้สามารถทำงานได้ในไทย ยังคงมีความซับซ้อน และต้องผ่านการทดสอบในภาษาไทย จึงทำให้บุคลากรทางการแพทย์จากเมียนมาส่วนใหญ่ ลงเอยด้วยการทำงานเป็นอาสาสมัครกับมูลนิธิต่างๆ ในเขตชายแดน
อดิศร แสดงความเห็นต่อว่า การให้โอกาสผู้ลี้ภัยกลุ่มมีทักษะเฉพาะได้ทำงาน ไม่ได้หมายถึงการให้อิสระกับใครก็ได้เข้ามายังประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ใช้ทักษะสูง และเกี่ยวข้องเรื่องความมั่นคงทางสาธารณสุขชายแดน แนวทางสำหรับการออกใบอนุญาตทำงานในเชิงการจำกัดพื้นที่ให้สามารถทำได้เฉพาะพื้นที่ชายแดน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อดิศรมองว่าจะเป็นประโยชน์กับสังคมไทย
“โอกาสควรมาพร้อมกับกรอบการคัดกรองที่ชัดเจน เราสามารถเลือกที่จะให้ใครทำงานได้”
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทย กำลังขาดแคลนวัยแรงงานในวันข้างหน้า ข้อมูลจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า อัตราการเจริญพันธุ์รวมล่าสุดในปี 2567 อยู่เพียง 1.0 หมายความว่า โดยเฉลี่ยผู้หญิงหนึ่งคนจะให้กำเนิดบุตร 1 คน (ซึ่งค่ามาตรฐานอยู่ที่ 2.1)
นั่นทำให้คาดการณ์ว่า ในอีก 50 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีการเกิดที่ลดลง เหลือเพียง 40 ล้านคน เท่ากับว่าประชากรจะหายไป 25 ล้านคน จึงเป็นโจทย์ท้าทายที่เราจำเป็นต้องนำเข้าประชากรวัยแรงงาน

ภาพ ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์
[ความคิดถึงในวันวาน กับความฝันในวันข้างหน้า]
เมยเล่าความฝันต่อว่า เขาอยากเปิดคลินิกดูแลฟันให้กับกลุ่มแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย เพราะยังคงอยากใช้ความรู้ และความสามารถที่ตนเองมีเพื่อหาเลี้ยงชีพ ถึงตอนนี้ ความฝันของเขาเปลี่ยนจากอยากมีเงินเยอะๆ กลายมาเป็นการมีงานที่มั่นคง และมีรายได้เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิต ไปพร้อมกับการได้ทำสิ่งที่เขารัก นั่นคือการเล่นดนตรี
“สมัยเด็กๆ ผมจะออกไปเล่นดนตรีเปิดหมวกกับเพื่อนข้างถนน” เมยเล่าถึงอดีตครั้งยังอยู่ที่ประเทศเมียนมา “แม่มักว่า เพราะอยากให้ผมเอาเวลาไปตั้งใจเรียน แต่ผมก็ดื้อไปร้องเพลงตามบาร์ต่างๆ สมัยมัธยมปลาย เพราะดนตรีคือความรักของผม”
เราถามเขาเป็นคำถามสุดท้ายว่า สิ่งที่เขาต้องการสื่อสารกับสังคมไทยคืออะไร ในฐานะผู้ลี้ภัยคนหนึ่ง เขาตอบกลับมาว่า “ผมเป็นคนคนหนึ่ง ผมขอแค่สิทธิขั้นพื้นฐานให้ชีวิตผมได้ดำเนินต่อไป ได้โปรดอย่ามาแบ่งแยกเราด้วยความที่ฉันเป็นคนพม่า และคุณเป็นคนไทยเลย”
ตกค่ำคืนเดียวกัน เราไปนั่งฟังเขาร้องเพลงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อนที่ไปด้วยกันถึงกับนึกว่าเขาคือนักร้องอาชีพ พร้อมประหลาดใจเมื่อรู้ว่าเขาเป็นทันตแพทย์ วันนั้นเมยเล่นดนตรีตั้งแต่สองทุ่มจนถึงห้าทุ่ม เขาดูสนุกและไม่มีวี่แววเหนื่อยล้า จนกระทั่งเข็มนาฬิกาเดินเข้าใกล้เลข 11 ฝนมีทีท่าว่าจะตก ก็ถึงเวลาบอกลา
นอกจากเสียงร้องแหลมที่เป็นเอกลักษณ์ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราจดจำเขาไม่ลืม คือ เพลง ‘Luen လွမ်း’ เพลงที่เขาเป็นคนแต่ง และมีความหมายว่า ‘ความคิดถึงในวันวาน’
“อดีตที่แสนคิดถึงยังคงตราตรึงในใจฉัน
ทุกสิ่งล้วนชั่วคราว เมื่อถึงเวลาความเศร้ามาเยือน
คิดถึงวันวาน และความทรงจำที่มีร่วมกับเธอ
ในโลกที่ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป
ฉันคิดถึง..คิดถึงเธอ
ฉันมองไปไกล ยิ้มเบาๆ และคิดถึง
ฉันยังคงหลงทางในเส้นทางสายเก่า
ในชั่วขณะ…ฉันอยากเดินผ่านผืนป่าแห่งความคิดถึง
ในชั่วขณะ…ฉันอยากใช้ชีวิตอยู่ในผืนป่าแห่งความคิดถึง”
เสียงเพลงค่อยๆ เฟดออกไปไกล เมื่อเราเดินออกมาจากร้าน ในขณะที่เมยยังคงร้องเพลง เหมือนหลุดไปอยู่ในโลกแห่งความฝัน ข้างๆ เขายังมีเพื่อนร่วมวงดนตรี ที่เป็นอดีตนักเขียน และคนหนุ่มจากเมียนมาอีกคน พวกเขาต่างหลงทางอยู่ในสุญญากาศทางสถานะกฎหมายในประเทศที่ไม่ใช่แผ่นดินบ้านเกิด และบ้านเกิดของพวกเขานั้น ก็ไม่ต่างอะไรจากอดีตที่ไม่สามารถกลับไปได้










