การเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ของ ออม – กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์ และ หลิงหลิง ศิริลักษณ์ คอง วานนี้ (10 มิ.ย.) ขยายให้กรณีศิลปินถูกแฟนคลับละเมิดความเป็นส่วนตัวของศิลปิน และคุกคามอย่างหนัก ที่เราเรียกกันว่า ‘ซาแซง’ ได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังในช่วงเดียวกันนี้ มีศิลปินไทยจำนวนหนึ่ง เผชิญปัญหานี้
เหตุการณ์ของ ออม และ หลิงหลิง เกิดขึ้นเมื่อมีกลุ่มซาแซงคุกคาม ถ่ายภาพบนรถยนต์ส่วนตัว และเฝ้าติดตามหน้าที่พักส่วนตัวทั้งวันทั้งคืน นอกจากนี้ ในทุกครั้งที่ต้องเดินทางไกล ยังจองตั๋วเครื่องบินให้ได้นั่งใกล้ชิดทั้งคู่
และที่น่าตกใจที่สุด คือข้อมูลเกือบทั้งหมดมาจากคนใกล้ตัว โดยซาแซงกลุ่มหนึ่งได้จ้างคนขับรถของ ออม ให้แจ้งความเคลื่อนไหว เเละเผยข้อมูลกิจกรรมในสถานที่ต่างๆ เพื่อแลกกับของมีค่าต่างๆ รวมไปถึงเงินสด
โดย ก้อย-นฤมล พงษ์สุภาพ คุณแม่ของออม ได้ให้สัมภาษณ์กับข่าวสดว่า ออมเป็นคนพบเจอหลักฐานด้วยตัวเอง หลังมีโอกาสใช้โทรศัพท์ของคนขับรถ จนได้เห็นบทสนทนาที่พวกเขาใช้ติดต่อกันทั้งหมด
นอกจากนี้ กลุ่มซาแซง ยังมีการตั้งกลุ่มไลน์ไว้แชร์ข้อมูลส่วนตัวของทั้งคู่ ซึ่งมีการใช้ถ้อยคำทำให้เสื่อมเสีย ทำให้ออมเกิดภาวะเครียดและกังวล และครอบครัวเองก็หวาดกลัว
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ พบหลักฐานและผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวน 5 ราย ซึ่งทางต้นสังกัดยืนยันพร้อมดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เนื่องจากกลุ่มที่คุกคามทั้งหมด ไม่ได้มีเเค่กลุ่มนี้กลุ่มเดียว ซึ่งมีทั้งแฟนคลับชาวไทยและชาวต่างชาติ
เหตุการณ์ของออมและหลิงหลิงไม่ใช่กรณีแรก ก่อนหน้านี้ ฟรีน-สโรชา จันทร์กิมฮะ ก็เคยถูกซาแซงประชิดตัวกลางงานอีเวนต์ จนต้นสังกัด IDOL FACTORY ได้ออกแถลงการณ์ทันทีหลังเกิดเหตุโดยระบุว่าผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นชาวต่างชาติ และทางบริษัทได้ยื่นเรื่องแบล็กลิสต์ ห้ามเข้ามาในประเทศไทยอีกต่อไป
ย้อนไปก่อนหน้า ฟรีน เคยถูกซาแซงบุกถึงคอนโด มีการแอบถ่ายในชีวิตประจำวัน และนำภาพเหล่านั้นไปเสนอขายต่อ พร้อมข่มขู่ศิลปิน ซึ่งต้นสังกัดเคยออกแถลงการณ์ตอบโต้ พร้อมยืนยันว่าดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเต็มที่
เช่นเดียวกับ พีพี –กฤษฏ์ อำนวยเดชกร และ บิวกิ้น –พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล เป็นอีกตัวอย่างของศิลปิน ที่ถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การปลอมบัตรเข้าหาหลังเวที ไปจนถึงการขับรถติดตามถึงบ้าน
ร้ายแรงที่สุดคือ การจองที่นั่งล้อมรอบทั้งคู่บนเครื่องบิน ระหว่างทริปที่เดินทางกลับจากงานแฟนมีตที่มาเก๊า เมื่อช่วงต้นปี 2024 ซึ่งกลายเป็นเหตุการณ์ที่ละเมิดพื้นที่ส่วนตัวอย่างชัดเจน
ครั้งนั้น บิวกิ้น เคยให้สัมภาษณ์ว่า แฟนคลับกลุ่มดังกล่าว มักติดตามทั้งคู่ตามงานต่างๆ อยู่ก่อนแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่อง และเป็นระบบของพฤติกรรมซาแซงในบางกรณี
ฟากฝั่งบันเทิงตะวันตก ก็พบพฤติกรรมในแบบเดียวกันว่า Celebrity Stalker หรือบุคคลที่สะกดรอยตามดารา ถึงกับมีรายการสารคดีที่นำเสนอเหตุการณ์จริง เกี่ยวกับพฤติกรรมล่วงละเมิดคนดัง

[ซาแซง หรือ ซาแซงแฟนคืออะไร และทำไมถึงพบได้บ่อยขึ้น]
คำว่า ‘ซาแซง มาจากคำว่า ‘ซาแซงฮวาล’ ที่แปลว่า ‘ชีวิตส่วนตัว’ รวมกับคำว่าแฟน หมายถึงแฟนคลับที่ล่วงละเมิดขอบเขต โดยเฉพาะในโลกของไอดอลเกาหลีใต้ ที่ระบบแฟนคลับเข้มข้นมาก
Korea Times เคยรายงานว่า ปรากฏการณ์นี้เริ่มต้นตั้งแต่ปลายยุค 90 และยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ศิลปินหลายคนต้องย้ายบ้าน เปลี่ยนรถ หรืออยู่กับความระแวงว่าจะถูกตามอยู่ตลอดเวลา
และการที่ข้อมูลส่วนตัวของศิลปิน กลายเป็นของซื้อขายที่พบได้ในโลกออนไลน์ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ รวมไปถึงปัญหาการคุกคามศิลปินระหว่างเดินทาง
ถึงได้เห็น บางคนจองตั๋วเพื่อที่จะเข้าไปตามติดศิลปินหลังกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง และยกเลิกไฟล์ท จนกระทั่งหลายสายการบิน ออกมาตรการปรับผู้โดยสารที่ยกเลิกไฟล์ทนาทีสุดท้ายก่อนบอร์ดดิ้ง
โดยเจ้าหน้าที่จากสายการบิน Asiana กล่าวว่า สายการบินตั้งกฎนี้ขึ้นมา เพราะปัญหาเรื่องซาแซง สุดท้ายศิลปินหลายกลุ่มที่มีงบมากพอเลยตัดสินใจเลือกที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว
เหตุการณ์นี้แสดงถึงอิทธิพลของแฟนคลับบางคนได้อย่างดี เพราะยังมีซาแซงอีกจำนวนหนึ่ง ที่มีทั้งเส้นสายและเงินมากพอ ที่จะตามสืบหรือซื้อข้อมูลของศิลปิน และเดินทางตามติดเวลาศิลปินเดินทางไปต่างประเทศ ก่อนจะแชร์คอนเทนต์ที่พวกเขาได้มา ไม่ว่าจะต้องลงทุนเท่าไหร่ก็เป็นไปได้
หลายครั้งศิลปินอาจจะทำอะไรไม่ได้ เกินกว่าการลงรายชื่อบุคคลเหล่านั้น ลงแบล็กลิสต์ของบริษัท
[กรณีศึกษาเกาหลีใต้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ ‘ไม่รอดู’ แต่ ‘ป้องกันก่อน’]
หลายคนอาจจะมีคำถามว่า แม้จะมีบทลงโทษทางกฎหมาย แต่แฟนคลับอีกมากมายทำไมถึงยอมเสี่ยงคุก เพื่อใกล้ชิดศิลปินทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีวันได้ครอบครอง
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะก่อนหน้าปี 2021 เกาหลีใต้ไม่มีกฎหมาย ที่จะลงโทษสตอล์กเกอร์โดยตรง ทางเดียวที่จะลงโทษได้ คือการหาการกระทำความผิดอื่นมาลงโทษ
เช่น ถ้าเขาบุกเข้าบ้านจึงจะสามารถตั้งข้อหาบุกรุกได้ แต่ถ้าแค่อยู่แถวๆ บ้าน ก็จะสามารถแจ้งได้แค่ข้อหาเล็กๆ ว่า ‘สร้างความเดือดร้อนรำคาญ’ ซึ่งทำให้บทลงโทษค่อนข้างเบาบาง
อย่างไรก็ดี หลังจากปี 2021 ก็มี พ.ร.บ. การลงโทษอาชญากรรมการสะกดรอยตาม ซึ่งกำหนดให้ผู้กระทำผิด ต้องจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30 ล้านวอน ซึ่งอยู่ราว 700,000 บาท และหากมีการพกพาอาวุธ หรือวัตถุอันตราย บทลงโทษจะเพิ่มขึ้นเป็นจำคุกสูงสุด 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50 ล้านวอน หรือ ประมาณ 1,600,000 บาท
ก่อนที่ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ สำหรับกฎหมายลงโทษสตอล์กเกอร์เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2022 หลังโศกนาฏกรรมที่สถานีรถไฟใต้ดินชินดัง เมื่อพนักงานหญิง ถูกอดีตเพื่อนร่วมงานลงมือสังหารอย่างโหดเหี้ยมในห้องน้ำ
จอน จูฮวาน ผู้ก่อเหตุ ได้คุกคามและข่มขู่เหยื่อ อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่าสองปี ก่อนจะลงมือเพียงหนึ่งวัน ก่อนที่เขาจะถูกตัดสินคดีสะกดรอยตาม เหตุการณ์นี้สะเทือนสังคมเกาหลีใต้อย่างรุนแรง และสะท้อนให้เห็นช่องโหว่ของกฎหมายที่ยังไม่เข้มงวดพอ ในการปกป้องผู้ถูกคุกคาม
ทำให้ข้อจำกัดที่ผูกมัดอัยการ ว่าจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายก่อนดำเนินคดีถูกยกเลิกไป และขอบเขตของ ‘อาชญากรรมการสะกดรอยตาม’ ถูกขยายให้ครอบคลุมพฤติกรรมในโลกดิจิทัลมากขึ้นด้วย
ความเปลี่ยนแปลงที่ตามมา คือคอมเมนต์รบกวนซ้ำๆ บนโซเชียลมีเดียของเหยื่อ หรือการเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวของผู้ถูกคุกคามบนโลกออนไลน์ ก็นับเป็นอาชญากรรม เหตุนี้สะท้อนให้เห็นว่า กฎหมายกำลังปรับตัวให้ทันกับยุคสมัย ที่เส้นแบ่งระหว่างโลกจริงและโลกเสมือนเลือนรางลงทุกที
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มให้เจ้าหน้าที่ ในการสั่งให้ผู้ต้องสงสัยสวมกำไลอิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวได้ตั้งแต่ช่วงสอบสวน โดยไม่ต้องรอให้ศาลมีคำพิพากษา ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า สังคมเกาหลีใต้กำลังเปลี่ยนท่าทีจากการ ‘รอดูท่าที’ เป็นการ ‘ป้องกันไว้ก่อน’
ในแวดวงบันเทิง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ถือเป็นความหวัง สำหรับศิลปินที่มักตกเป็นเป้าของการคุกคาม โดยเฉพาะในยุคที่โซเชียลมีเดียทำให้แฟนคลับสามารถเข้าถึงชีวิตส่วนตัวของไอดอลได้ง่ายดายกว่าที่เคย
[เมื่อกฎหมายป้องกันความเป็นส่วนตัว โตไม่ทันวงการบันเทิงไทย]
หันกลับมาดูที่บ้านเรา ที่ยังไม่มีกฎหมายที่กำหนดขึ้นมา เพื่อเอาผิดการสะกดรอยตามโดยเฉพาะ แถมบทลงโทษยังค่อนข้างเบา เช่น ความผิดฐานสร้างความเดือดร้อนรำคาญนั้น ยังเป็นความผิดลหุโทษ หรือ โทษสถานเบา ทำให้ความผู้กระทำความผิดอาจจะไม่เกรงกลัวบทลงโทษเท่าไรนัก
เห็นได้ชัดจากกรณีตัวอย่าง ของ ‘มินตัน’ เน็ตไอดอลสาวที่ถูกคุกคามนานกว่า 3 ปี ทั้งในชีวิตจริงและทางออนไลน์ มินตันมีหลักฐานพร้อม เคยแจ้งตำรวจจับ แต่ก็ไม่ได้ผล คู่กรณีเคยถูกจับก็จริง แต่ถูกก็จับด้วยคดีสื่อลามกเกี่ยวกับเด็ก ไม่ได้ถูกจับเพราะคดีคุกคามและโดนโทษแค่รอลงอาญา
ในวันนี้ที่วงการ T-POP, T-Series และศิลปินไทย กำลังเติบโตในตลาดโลกอย่างก้าวกระโดด ‘ซาแซง’ อาจไม่ใช่แค่คำแปลกหน้าที่เราได้ยินผ่านข่าวต่างประเทศอีกต่อไป
ขณะที่เราชื่นชมความสำเร็จ ของศิลปินไทยที่ก้าวสู่เวทีระดับนานาชาติ วงการบันเทิงไทยอาจต้องเริ่มถามตัวเองว่า เราพร้อมรับมือกับด้านมืดของความสำเร็จนี้แล้วหรือยัง? เพราะเบื้องหลังแสงไฟระยิบระยับบนเวที และเสียงโห่ร้องและความรักที่ท่วมท้นของแฟนคลับ อาจจะมีเงามืดของ ‘ความรักที่ผิดทาง’ แฝงตัวอยู่ได้เสมอ
กฎหมายไทยในปัจจุบัน แม้จะมีบทบัญญัติหลายฉบับ ที่ดูเหมือนจะให้ความคุ้มครอง ตั้งแต่รัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิความเป็นส่วนตัว ไปจนถึงประมวลกฎหมายอาญาและแพ่ง ที่เปิดช่องให้เรียกค่าเสียหาย
แต่ยังขาดความชัดเจนในการจัดการกับพฤติกรรมแบบซาแซงโดยเฉพาะ ที่บ่อยครั้งเริ่มต้นจากการกระทำที่ดูเหมือนไร้พิษภัย การรอดักพบ การส่งของขวัญ การติดตามในโซเชียลมีเดีย แต่สามารถบานปลายเป็นการคุกคามที่ทำลายความรู้สึกปลอดภัยในชีวิตประจำวัน
หลายครั้ง ดารา นักร้อง นักแสดง ถูกมองว่าเป็น ‘บุคคลสาธารณะ’ จนลืมไปว่าพวกเขาเองก็ประชาชนคนหนึ่ง หากวันหนึ่งเราตกเป็นเหยื่อของการคุกคาม เราทุกคนย่อมต้องการการคุ้มครองจากกฎหมายเช่นเดียวกัน
คำถามจึงไม่ใช่แค่ ‘เราจะปกป้องศิลปินของเราอย่างไร’ แต่เป็น ‘เราจะสร้างสังคมที่ทุกคนปลอดภัยจากการคุกคามได้อย่างไร’ เพราะในท้ายที่สุด เส้นแบ่งระหว่าง ‘แฟนคลับ’ กับ ‘ผู้คุกคาม’ อาจบางเบาเกินกว่าที่เราคิด








![[ประมวลภาพ] เหนือคำบรรยายสมการรอคอย ใน “Omoinotake One Man Live in Taipei & Bangkok”](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fimages.workpointtoday.com%2Fworkpointnews%2F2025%2F12%2F18194713%2F1766062032_006495-workpointtoday.webp&w=2048&q=75)

