เศรษฐกิจไทยกำลังก้าวเข้าสู่ปี 2569 ด้วยภาพการเติบโตที่เปราะบางกว่าที่เคย โดย SCB EIC ประเมินว่า GDP ไทยจะขยายตัวเพียง 1.5% ลดลงจาก 2% ในปี 2568 ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 30 ปี หากไม่นับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่
ภาพดังกล่าวสะท้อนว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้เผชิญเพียงแรงกดดันระยะสั้น แต่กำลังติดกับดักข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน และถูกเร่งให้ชัดขึ้นจากปัจจัยรอบด้านที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน
[ ภาคส่งออกยังถูกกดดัน ]
หนึ่งในแรงกดดันหลักในปีหน้ายังคงมาจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสงครามการค้า โดยเฉพาะบทบาทของสหรัฐฯ ที่กลับมาใช้นโยบายภาษีนำเข้าอย่างจริงจัง แม้การส่งออกไทยในปี 2568 จะยังขยายตัวได้ดี แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งแรงหนุนดังกล่าวกำลังทยอยหมดไปในปี 2569
ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงจากการตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติม โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าที่เข้าข่ายสวมสิทธิ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันสำคัญ
รวมถึงการแข่งขันจากจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น หลังสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงลดภาษีตอบโต้ชั่วคราว ทำให้สินค้าจีนมีโอกาสกลับมาชิงส่วนแบ่งตลาดโลกได้มากขึ้น ส่งผลให้การส่งออกและนำเข้าของไทยต้องเผชิญความไม่แน่นอนสูงจากทั้งปัจจัยภายนอกและภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค
[ ท่องเที่ยวฟื้น แต่ยังไม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด ]
ภาคท่องเที่ยวยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญของเศรษฐกิจไทย ในปี 2569 คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 34.1 ล้านคน อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยังไม่สมดุล โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ขณะเดียวกัน การแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในเอเชียทวีความเข้มข้น หลายประเทศเร่งทำตลาดและออกมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยว ทำให้ไทยต้องลงแข่งขันในสนามที่ยากขึ้น ประกอบกับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ยิ่งเพิ่มความท้าทายต่อการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวในปีหน้า
[ กำลังซื้ออ่อนแรง รายได้ฟื้นช้า หนี้ยังสูง ]
ด้านอุปสงค์ในประเทศ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องในปี 2569 จากรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นตัวช้า ท่ามกลางตลาดแรงงานที่เปราะบางมากขึ้น ทั้งในแง่การจ้างงานและชั่วโมงทำงานที่ลดลง
ข้อมูลจาก SCB EIC สะท้อนว่า ผู้บริโภคจำนวนมากยังเผชิญปัญหา รายได้เพิ่มไม่ทันค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง และเริ่มลามไปถึงกลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูงมากขึ้น เมื่อหนี้เสียยังทรงตัวในระดับสูง หลายครัวเรือนจึงต้องรัดเข็มขัด ลดการใช้จ่ายเพื่อจัดการหนี้ ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศยังถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง
[ ลงทุนเอกชนยังไปต่อได้ แต่แรงส่งจำกัด ]
การลงทุนภาคเอกชนในปี 2569 ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ แต่ในระดับต่ำ แรงหนุนสำคัญมาจากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI และอุตสาหกรรมศักยภาพ เช่น ดาตาเซ็นเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และยานยนต์ เพื่อรองรับตลาดอาเซียน
อย่างไรก็ตาม ผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวมอาจยังจำกัด เนื่องจากสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากจีน ทำให้การลงทุนไม่สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศเต็มที่ อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงด้านมาตรการภาษีจากต่างประเทศ ขณะที่ธุรกิจไทยจำนวนมากยังเผชิญกำไรที่ลดลงและภาระหนี้ที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นข้อจำกัดต่อการลงทุนในภาพรวม
[ ดอกเบี้ยลด แต่ภาวะการเงินยังตึงตัว ]
แม้คณะกรรมการนโยบายการเงินจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่ภาพรวมภาวะการเงินยังคงตึงตัว จากสินเชื่อครัวเรือนและ SME ที่หดตัว รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่า โดย SCB EIC คาดว่าในปี 2569 อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.0% เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ลดต้นทุนทางการเงิน และลดแรงกดดันค่าเงินบาท
อย่างไรก็ดี การลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากฐานะทางการเงินของครัวเรือนและ SME ยังเปราะบาง ทำให้สถาบันการเงินยังระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ มาตรการเสริมจากภาครัฐ ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการค้ำประกันสินเชื่อ จึงยังมีความจำเป็น
[ การเมืองไม่แน่นอน เพิ่มแรงกดดันการคลัง ]
ความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังการยุบสภา ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการคลัง โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2569 และความเสี่ยงที่การจัดทำงบประมาณปีถัดไปจะล่าช้า แม้ผลกระทบระยะสั้นอาจจำกัด แต่ในระยะกลาง ไทยจะเผชิญข้อจำกัดด้านการคลังมากขึ้น จากภารกิจควบคุมการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะ
โดยภาพรวมในปี 2569 SCB EIC มองว่าเศรษฐกิจไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ แรงกดดันจากภายนอกผสมกับความเปราะบางภายใน ทำให้การปฏิรูปเชิงโครงสร้างไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น ไทยต้องเร่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน คลายอุปสรรคการลงทุน และผลักดันอุตสาหกรรมศักยภาพใหม่ ผ่านความร่วมมือรัฐ–เอกชนอย่างจริงจัง
ดังนั้น ภาคธุรกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงมากกว่าปัจจัยบวก โดยเฉพาะภาคการผลิตและอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ภาคบริการอย่างท่องเที่ยวและค้าปลีกยังพอไปต่อได้ท่ามกลางความผันผวน อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็ว ใช้นวัตกรรม และตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ยังมีโอกาสเติบโตได้ แม้เศรษฐกิจจะไม่ง่ายเหมือนเดิม










