‘ธนาธร’ มองสังคมต้องพูดคุยกันหาทางออกด้วยเหตุผล เตือนผู้ชุมนุมอย่าใช้อารมณ์เรียกร้อง ฝากถึงผู้มีอำนาจถึงเวลาต้องถอยคนละก้าว

วันที่ 14 ส.ค. 2563 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ผ่านทางไลฟ์เฟซบุ๊กรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เปิดความลับ ถึงการชุมนุมของนักศึกษา และทางออกของประเทศ
โดยตอนหนึ่งนายธนาธร ได้กล่าวถึงข้อเสนอ 10 ข้อของกลุ่มนักศึกษาที่มีการปราศรัย ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ที่ผ่านมาว่า ข้อเสนอ 10 ข้อ ถึงเวลาหรือไม่ถึงเวลาไม่เป็นไร แต่ขอให้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างเปิดเผยเสรีและปลอดภัยได้… และว่า การจะทำให้เข้าใจกัน มีแต่การพูดคุยเท่านั้น จะพูดคุยได้ต้องยอมรับว่ามีปัญหา และการพูดถึงปัญหาอย่างเปิดเผยไม่ใช่อาชญากรรม การพูดถึงปัญหาอย่างเปิดเผยต่างหากที่จะทำให้การแสวงหาทางออกอย่างสันติเป็นไปได้ คือคุณสมบัติของสังคมที่วุฒิภาวะ
“ก็ต้องเรียนทางกลุ่มผู้ชุมนุม ทางนักศึกษา ประชาชนที่ออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ด้วยว่า เราก็ต้องยอมรับความจริงในสังคมว่ามีคนกลุ่มหนึ่งในสังคม ยังรู้สึกว่าการพูดคุยถึงเรื่องนี้เป็นการทำร้ายจิตใจของเขา เราต้องยอมรับตรงนี้ด้วย ขณะที่เราเรียกร้องให้คนกลุ่มจะเรียกว่าปีกที่เป็นอนุรักษ์นิยมก็ได้ กลับคุยกันด้วยเหตุผล อย่าใช้ความรุนแรง อย่าเรียกร้องการปราบปราม หรือริดรอนสิทธิเสรีภาพ ขณะเดียวกันเราต้องกลับมาเรียกร้องตัวเองด้วยว่า การพูดคุยถึงเรื่องนี้ ต้องไม่กระทำด้วยอารมณ์ ต้องไม่กระทำด้วยความมาดร้าย พยาบาท ต้องไม่กระทำด้วยการเสียดสี หรือการแซะ ที่จะทำให้อีกฝ่าย เกิดอารมณ์ขึ้น แต่ต้องพูดคุยเรื่องนี้ด้วยเหตุผล ด้วยเจตนาที่ดี ด้วยความปรารถนาที่ดีต่อประเทศ ที่จะพาประเทศไปข้างหน้า ถ้าพูดคุยด้วยความมาดร้ายพยาบาท พูดคุยด้วยอารมณ์ หรือการเสียดสีเมื่อไหร่ ก็จะทำให้คนที่รู้สึกว่าการพูดถึงเรื่องนี้แล้วเขาเจ็บปวดในหัวใจ ออกมาต่อต้าน ไม่พร้อมเปิดใจรับฟังอีก ดังนั้นการพูดคุยถึงเรื่องนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งทั้งสองฝ่าย ที่จะไม่ใช้อารมณ์”
นอกจากนี้ นายธนาธร ยังได้กล่าวว่า ขอฝากไปถึงผู้มีอำนาจ เวลานี้ทุกคนต้องถอยคนละก้าว ไม่มีใครได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครอยากเห็นการสูญเสียเลือดเนื้อ ถ้าผู้มีอำนาจยังไม่คิดถอย ไม่ประนีประนอม มันอาจไปถึงจุดนั้นได้ ทุกคนต้องถอย และใช้สติ โดยรูปธรรมของการถอย คือการแก้รัฐธรรมนูญ มานั่งคุยกันว่า จะเอาอย่างไร เดินหน้าไปอย่างไร เพราะต้องยอมรับว่า คนที่ไม่พอใจ คนที่ตื่นรู้ทางการเมือง และต้องการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงมีมากเกินกว่าที่รัฐจะปราบปราม หรือทำเป็นไม่รับรู้ว่ามีอยู่อีกต่อไป
ที่มา :










