คำพูดว่า ‘ศักดิ์ศรีค้ำคอ’ อาจถูกมองในแง่ลบเสียมาก แต่สำหรับ จ.ลำพูน ที่เคยครองแชมป์ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งระดับชาติสูงสุด 14 สมัย ทั้งการเลือกตั้ง สส. สว. รวมถึงการลงประชามติ ประโยคนี้มีความหมายมากว่านั้น
การทวงคืนอันดับ 1 ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุด ในสนาม อบจ. ปี 2568 หลังเคยพ่ายให้ จ.พัทลุง เมื่อปี 2563 ตอกย้ำว่า คงไม่มีอะไรดีไปมากกว่านี้แล้ว หากศักดิ์ศรีที่ว่า จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยเบ่งบาน
[คนไปใช้สิทธิสูงสุดของประเทศ]
ตลอดสุดสัปดาห์ เชื่อว่าไม่มีจังหวัดไหนจะฮอตเท่าลำพูนแล้ว นับตั้งแต่เป็นจังหวัดเดียว ที่พรรคประชาชนคว้าเก้าอี้ นายก อบจ. ในศึกคราวนี้ โดยพลิกเอาชนะผู้สมัครในสังกัดพรรคเพื่อไทย ที่นายใหญ่จับไมค์ปราศรัยด้วยตนเองช่วงโค้งสุดท้าย
ก่อนที่เช้าวันนี้ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง จะเปิดเผย ภาพรวมผู้มีสิทธิเลือกตั้งนายก อบจ. ใน 47 จังหวัด ว่าจากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 27,991,587 คน มาใช้สิทธิ 16,362,185 คน คิดเป็น 58.45%
โดยที่ จ.ลำพูน คือ จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ. และนายก อบจ. มากที่สุด คิดเป็น 73.43% ปาดหน้าคู่ต่อสู้อย่างพัทลุง ที่ตกลงไปเป็นอันดับที่ 2
เมื่อไปย้อนดูเส้นทางของแชมป์ 14 สมัย ที่ไล่เรียงมาตั้งแต่ การเลือกตั้ง สส. ปี 2544 ข้อสังเกตที่น่าสนใจ พบว่า แทบทุกครั้งลำพูนจะมีผู้มาใช้สิทธิ มากกว่า 75% มีเพียงการเลือก สว. ปี 2557 เท่านั้นที่ผู้มาใช้สิทธิอยู่ที่ 68.39% แต่นั่นก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยผู้มาใช้สิทธิทั้งประเทศอยู่ดี
และทั้งหมดนี้ดูจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีข้อสันนิษฐานที่น่าสนใจหลายประการ

ที่มา:สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำพูน
[ 2 ข้อสันนิษฐาน จากนักรัฐศาสตร์]
อย่างที่ ผศ.ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ตั้งข้อสังเกตของการคว้าชัยเอาไว้ 2 ปัจจัยอย่างน่าสนใจเอาไว้
- คนลำพูนไม่ไกลบ้าน และ ‘ครอบครัวแหว่งกลาง’ ไม่สูง
“คนลำพูนอาจจะอยู่ติดกับพื้นที่ ถ้าออกไปเรียนต่างถิ่น ก็อาจจะไปอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งยังสามารถนั่งรถกลับไปเลือกตั้งได้…คนทำงานเอง อย่างลำพูนมีนิคมอุตสาหกรรม ทำให้มีตลาดจ้างงานขนาดใหญ่รองรับ ต่อให้เลือกตั้งวันเสาร์ไม่ได้มีเลือกตั้งเล่วงหน้า ก็ยังมีผู้ไปใช้สิทธิอยู่เยอะ”
นี่เป็นข้อสันนิษฐานลำดับต้นๆ ที่นักรัฐศาสตร์รายนี้ มองว่าส่งผลต่อสถิติการใช้สิทธิเลือกตั้งที่สูงอย่างต่อเนื่อง ไม่มากก็น้อย ด้วยข้อสังเกตที่ว่า ช่องว่างผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ ไม่แตกต่างกับการเลือกตั้งใหญ่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่น
“อย่างเชียงใหม่ที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง อบจ. อยู่ที่ราว 66% ในการเลือกตั้งระดับชาติปี 63 มีผู้มาใช้สิทธิถึง 81%”
อ.ณัฐกร ชี้ว่า สิ่งที่อาจต้องหาคำตอบเพิ่มเติม คือ จ.ลำพูนมีประชากรย้ายถิ่นฐานมากน้อยแค่ไหน รวมถึงมีลักษณะของ ‘ครอบครัวแหว่งกลางต่ำ’ จริงหรือไม่ อย่างที่เป็นปัจจัย ให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งในภาคอีสานไม่สูงมาก เนื่องจากพ่อแม่จำนวนมากต้องทำงานในเมืองหลวง ขณะที่บุตรหลานอยู่บ้านเกิดกับผู้สูงอายุ
- เราคือเบอร์หนึ่ง เราคือแชมป์
ข้อสันนิษฐานถัดมา อ.ณัฐกร มองว่า เกี่ยวข้องกับกลไกภาครัฐในจังหวัด ทั้งการทำงานของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงผู้ว่าราชการ ที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการดำเนินงาน โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ประชาชนออกไปเลือกตั้ง
“เหมือนเป็นจังหวัดที่ได้อันดับสูงมาตลอด เอาจริงมาตลอด เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดว่าเราคือเบอร์หนึ่ง เราคือแชมป์”
จึงไม่น่าแปลก ที่สนาม อบจ. 2568 ลำพูน มีความคึกคักมากพิเศษ ด้วยเหตุว่าจะไม่ยอดพลาดท่าให้ จ.พัทลุง ซ้ำสอง ตามความเห็นของ อ.ณัฐกร

ที่มา:สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดลำพูน
[วัฒนธรรม ‘ตำหนิคนไม่ไป’ ใช้สิทธิเลือกตั้ง]
และข้อสันนิษฐานเหล่านี้ สอดคล้องกับ งานวิจัยเรื่อง ‘พฤติกรรมการใช้สิทธิเลือกตั้ง ของประชาชนจังหวัดลำพูน’ ของ ศูนย์วิจัยและพัฒนากฎหมาย คณะนิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ที่เผยแพร่ไว้เมื่อปี 2560
‘การรักศักดิ์ศรีของชาวลำพูน มีความภาคภูมิใจและต้องการรักษาแชมป์ จังหวัดที่มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุด’
เป็นปัจจัยด้านวัฒนธรรมพื้นฐานของบุคคลในสังคม ที่ถูกบันทึกเป็นข้อสรุปไว้ในงานวิจัยนี้ เช่นเดียวกับ ‘การตำหนิผู้ไม่ไปใช้สิทธิ ซึ่งเป็นมาตรฐานการบังคับทางสังคม และความรู้สึกละอายเมื่อตนไปใช้สิทธิ’
งานวิจัยนี้ระบุว่า ความกดดันทางสังคมลักษณะเช่นนี้เอง เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกตั้งของคนในลำพูน
ขณะที่ คนลำพูนจะตัดสินด้วยนโยบายของพรรคการเมืองที่ดี แม้ว่าจะศรัทธาตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งคนนั้นมากขนาดไหนก็ตาม พูดง่ายๆ คือ โหวตให้พรรคที่ชอบมากกว่า งานวิจัยชิ้นนี้ยังระบุว่า ถ้าคนลำพูนตัดสินใจไม่ได้ หรือไม่ชอบทั้งพรรคและตัวผู้สมัคร พวกเขาก็จะเลือกไม่ประสงค์ลงคะแนนแทน
และความน่าสนใจอีกประการ คือ แรงกระตุ้นให้คนลำพูนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง มาจากกลุ่มบุคคลอย่างกำนันผู้ใหญ่บ้าน และคณะกรรมการหมู่บ้าน ตลอดจนสมาชิกครอบครัว ที่จะคอยร่วมด้วยช่วยกันจับตาการทุจริตการเลือกตั้ง และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่ออยู่ตลอด
และที่ว่ากันว่า คนไทยบ้าเกียรติบัตรก็อาจไม่เกินจริง เพราะงานวิจัยชิ้นนี้ ยังพูดถึงว่า การประกาศเกียรติคุณ หรือให้รางวัลแก่หมู่บ้านที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งสูงสุด กลายเป็นกลไกที่ดูจะได้ผลดีในลำพูน เช่นเดียวกับการประกวดคำขวัญ อย่าง ‘ยกย่องคนไปใช้สิทธิ ตำหนิคนนอนหลับทับสิทธิ’ เป็นต้น
มาถึงช่วงท้ายของงานวิจัย สิ่งที่ดูเหมือนง่าย แต่อาจทำยากที่สุด คือ การสร้างความตระหนักว่าต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้ง คนลำพูนร่วมกันปลูกฝังผ่านวัฒนธรรมพื้นฐานที่สืบเนื่องมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า
พูดง่ายๆ คือ ทำให้เด็กเห็นเป็นตัวอย่าง แล้ววันหนึ่งที่พวกเขาเติบโต จนมีสิทธิเลือกตั้งได้ พวกเขาก็จะเป็นตัวอย่างให้ลูกหลานรุ่นต่อรุ่นเอง










